Page 46 - kpiebook67026
P. 46
45
ตัวอย่างเช่น การที่บุคคลก�าหนดอัตลักษณทางเพศและแสดงออกซึ่งอัตลักษณ
ทางเพศของตนว่าเป็นบุคคลข้ามเพศในพื้นที่สาธารณะอย่างเปิดเผย ย่อมมีสิทธิที่จะ
เปิดเผยตัวโดยไม่ต้องได้รับการลงโทษหรือจับกุมจากรัฐ และในขณะเดียวกันบุคคลข้ามเพศ
ดังกล่าวย่อมมีสิทธิในการรับรองสถานภาพทางกฎหมายเพื่อให้ตนสามารถเข้าถึงและ
ได้รับบริการจากรัฐ เช่น การท�างาน การรักษาสุขภาพ รวมถึงได้รับการศึกษาในฐานะ
เป็นผู้บริโภคอย่างเท่าเทียมกับพลเมืองอื่น ๆ เป็นต้น ในกรณีที่รัฐปฏิเสธมิให้การรับรอง
สถานภาพทางกฎหมายแก่บุคคลข้ามเพศจนเป็นเหตุให้บุคคลนั้นไม่อาจใช้สิทธิต่าง ๆ
ได้เช่นเดียวกับบุคคลอื่น การจ�ากัดสิทธิดังกล่าวของรัฐจะต้องสามารถอธิบายได้ว่า
เป็นไปโดยมีวัตถุประสงคเพื่อรักษาไว้ซึ่งผลประโยชนของสังคมภายในรัฐอย่างไร ซึ่งโดย
ทั่วไปวัตถุประสงคเช่นว่านั้นมักครอบคลุมถึงความมั่นคงของรัฐ (National Security)
ผลประโยชนสาธารณะ (Public Interest) ความสงบเรียบร้อยของประชาชน (Public
Policy/ Public Order) ศีลธรรมอันดีของประชาชน (Morality) สุขภาพอนามัยของ
ประชาชน (Public Health) ความปลอดภัยสาธารณะ (Public Safety) หรือป้องกัน
สิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น (Protection of the Rights and Freedoms of
Others) โดยกลุ่มผลประโยชนของรัฐเหล่านี้ได้รับการยอมรับว่าเป็น “ความจ�าเป็น
ในสังคมประชาธิปไตย (Necessary in a Democratic Society)” นอกจากนั้น
รัฐต้องสามารถอธิบายได้ว่าการจ�ากัดสิทธิดังกล่าวมีความเหมาะสม (Principle of
suitability) ที่จะบรรลุวัตถุประสงคที่ต้องการได้หรือไม่ รวมถึงเป็นมาตรการที่มี
ผลกระทบต่อสิทธิของบุคคลน้อยที่สุดตามความจ�าเป็น (Necessity) หรือไม่เพียงใด
และเมื่อชั่งน�้าหนักระหว่างประโยชนที่มหาชนจะได้รับกับประโยชนที่บุคคลแต่ละคน
ต้องเสียไปจากการบังคับใช้มาตรการเหล่านั้นแล้วประโยชนที่มหาชนจะพึงได้รับ
ต้องมากกว่าความเสียหายเกิดขึ้นกับบุคคลหรือสังคมโดยรวม จึงจะถือว่ามาตรการ
ดังกล่าวได้สัดส่วน (Proportionality) กับวัตถุประสงคที่ต้องการ
2.2.3 ความสัมพันธ์ระหว่างสิทธิในอัตลักษณ์ทางเพศ
กับสิทธิมนุษยชนเรื่องอื่น
เนื่องจากสิทธิในก�าหนดอัตลักษณทางเพศเป็นสิทธิมนุษยชนซึ่งประกอบไปด้วย
1) สิทธิในการก�าหนดอัตลักษณทางเพศของตนเอง 2) สิทธิในการแสดงออก
ซึ่งอัตลักษณทางเพศ และ 3) สิทธิในการตระหนักซึ่งอัตลักษณทางเพศของตนเอง