Page 38 - kpiebook67011
P. 38
37
ทางโทรศัพท์ ว่าไอค์แมนนั้นเสนอให้มีการการฆ่า (propose to kill) ซึ่งน่าจะเป็นหลักฐานเดียวที่ปรากฏว่า
เขามีค�าสั่งฆ่า ซึ่งแม้ว่าเขาจะสั่งฆ่าจริง แต่นั่นก็เป็นเพียงการบอกกล่าวให้ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่นั้น ปฏิบัติ
59
ตามหน้าที่ที่พวกเขาควรปฏิบัติเท่านั้น ตรงนี้จะเห็นได้ว่า แม้ว่าเขาจะเป็นผู้ออกค�าสั่ง แต่ก็เป็นค�าสั่ง
ที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงสาระของค�าสั่งเดิม เพียงแต่เป็นการเน้นย�้า และท�าให้ค�าสั่งเดิมจากผู้บังคับบัญชา
ที่สูงกว่านั้นด�าเนินการไปได้ต่อ ซึ่งก็พ้นความรับผิดชอบในความคิดของเขา
เหตุผลที่เขาควรจะมีความผิดหรือไม่คืออะไร ? เพราะเขาแสดงตนเป็นพลเมืองที่ปฏิบัติตาม
กฎหมายเท่านั้น เพราะค�าสั่งของฮิตเลอร์นั้น ถือเป็นการบังคับทางกฎหมาย ทั้งยังเป็นศูนย์กลางของ
ค�าสั่งทางกฎหมายในอณาจักรไรช์ที่สาม (Third Reich) ฮิตเลอร์ในเวลานั้นจึงอยู่ในสถานะขององค์อธิปัตย์
ของรัฐ ไอค์แมนจึงไม่ได้ปฏิเสธถึงความผิดในการกระท�าของเขาหรือไม่ แต่ไม่ได้กระท�าไปด้วยแรงจูงใจ
ที่มีความชั่วร้าย และเขาไม่ได้รับรู้ถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาด้วยอาชญากรรมจากการกระท�าของเขา สิ่งที่จะท�า
ให้เขารู้สึกผิดจึงคือการที่เขาไม่ได้ท�าตามค�าสั่งที่ได้รับมอบหมาย นั่นก็คือการส่งผู้คนเป็นล้าน ๆ คน
60
ทั้งชาย หญิง และเด็ก ไปสู่ความตายด้วยความห่วงใยอย่างพิถีพิถัน เขายืนยันว่าเขาไม่ได้เป็นผู้เกลียดยิว
เป็นการส่วนตัว แม้จะมีเพื่อนบางคนเป็นผู้เกลียดยิวก็ตาม
ไอค์แมนได้เล่าถึงความสัมพันธ์ของเขากับชาวยิว ซึ่งเขาได้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดเกี่ยวข้องกับ
ชาวยิวอยู่พอสมควร จึงใช้เป็นเหตุผลว่าไม่ได้มีความเกลียดชังชาวยิวด้วยเหตุผลของเชื้อชาติ ไอค์แมน
เคยท�างานเป็นพนักงานขายในบริษัท Austrian Elektrobau Company ระหว่างปี 1925 ถึง 1927
และลาออกด้วยความสมัครใจเพื่อไปรับต�าแหน่งในบริษัท Vacuum Oil Company of Vienna
โดยแม่เลี้ยงของเขาผู้ซึ่งเป็นภรรยาใหม่ของบิดาของเขา มีลูกพี่ลูกน้อง ซึ่งเขาเรียกว่า “ลุง” ลุงคนนี้
เป็นประธานสโมสร Austrian Automobile Club และลุงท่านนี้ก็ได้แต่งงานกับลูกสาวของนักธุรกิจชาวยิว
จากเชโกสโลวาเกีย ลุงจึงได้ใช้ความสัมพันธ์ในเครือข่ายในการติดต่อผู้อ�านวยการของ Vacuum Oil
Company ในการจัดหาต�าแหน่งงานนี้ให้เขา ซึ่งเขารู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก ครอบครัวของไอค์แมนจึงมี
61
“ชาวยิว” อยู่ด้วย ซึ่งนั่นก็หมายความว่านอกจากเขาจะไม่ได้เกลียดชัง “เชื้อชาติยิว” แล้ว ผู้ที่มีบุญคุณ
กับเขา ก็ยังเป็นชาวยิวอีกด้วย
แม้ว่าในช่วงปี 1943 – 1944 ที่ ‘Final Solution’ ได้มีการประกาศใช้อย่างเต็มตัว ลูกสาวของ
“ลุง” ท่านนี้ ซึ่งเป็นลูกครึ่งชาวยิว ก็ได้เดินทางมาพบเขา เพื่อขออนุญาตเดินทางไปอพยพที่สวิตเซอร์แลนด์
แน่นอนว่าเขาอนุญาต และ “ลุง” ก็ยังมาพบเขาเพื่อขอให้ช่วยเหลือคู่รักชาวยิว ซึ่งแน่นอนว่าเขาก็ตอบตกลง
เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้เกลียดชังชาวยิวเป็นกาลเฉพาะ เขายังกล่าวต่อเพื่อย�้าถึงข้อพิสูจน์ของเขา
ถึงการที่เขาได้เล่าเรื่องของเขาให้หัวหน้าสมาคมชาวยิวในเวียนนา หรือรองประธานองค์กรไซออน
59 Ibid., 22–23.
60 Ibid., 25.
61 Ibid., 29–30.