Page 33 - kpiebook67011
P. 33
32 ประชาธิปไตยในความคิดของฮันนาห์ อาเรนดท์
หากมองเปรียบเทียบกับการท�าลายชนชั้นเพื่อให้เกิดสิ่งที่ถูกเรียกว่าเป็น “ชนชั้นกลาง” ที่ท�าลาย
ชนชั้นทางเศรษฐกิจ การเข้าท�าลายระบบรัฐสภาก็คือการท�าลายความเป็นโครงสร้างของสถาบันทางการเมือง
ขบวนการเบ็ดเสร็จนิยมจึงใช้เสรีภาพของประชาธิปไตยเพื่อท�าลายเสรีภาพของประชาธิปไตยด้วยตัวมันเอง
เพราะเสรีภาพนั้นเป็นสิ่งที่พลเมืองควรได้รับอย่างเสมอหน้าตามกฎหมาย แต่ค�าว่าพลเมืองนั้นนับใครบ้าง
พลเมืองจึงเป็นสิทธิพิเศษให้กับคนที่มีสถานภาพเฉพาะอย่างหนึ่งทางสังคม ทุกคนจึงไม่ได้ถูกนับเป็น
พลเมืองเท่ากัน กรอบคิดแบบพลเมืองนี้จึงใช้ไม่ได้ส�าหรับมวลชน เสรีภาพและประชาธิปไตยจึงเป็นของคน
ที่มีสถานภาพหนึ่ง ๆ เท่านั้น ดังนั้น จึงต้องท�าลายความไม่เท่ากันของชั้นหรือสถานภาพทางสังคมด้วย
หลังจากที่ต้องท�าลายชนชั้นไปแล้ว
การท�าลายทุกอย่างของมวลชน เพื่อให้เกิดความเป็นมวลชนที่เหมือนกัน ท�าให้ไม่เหลืออะไร
เป็นที่ยึดเหนี่ยว การหมดศรัทธาและความเชื่อถือต่อระบบการเมืองปัจจุบันที่เป็นอยู่ เช่น ระบบรัฐสภา
หรือแม้แต่ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปทางใดต่อ เพราะพื้นฐานของการเกิดขึ้นของมวลชน
คือการต่อต้านและท�าลายล้าง เมื่อขบวนการนั้นเดินทางมาถึงจุดที่มวลชนนั้นพบกับปัญหาวิกฤตศรัทธา
ที่ว่าทุกอย่างอาจเป็นไปได้และไม่มีอะไรที่ถูกต้องจริงแท้ การโฆษณาชวนเชื่อจึงเป็นเครื่องมือที่ส�าคัญ
ในการเคลื่อนไหว บุคคลส�าคัญที่จะก�าหนดทิศทางในการเคลื่อนไหวไปสู่ความส�าเร็จจึงเป็น “ผู้น�า”
53
ที่มีบารมีมีความสามารถในการจัดการและควบคุม ผ่านการโฆษณาชวนเชื่อให้มวลชนเชื่อฟังได้
และมวลชนก็พร้อมที่จะเชื่อฟังไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ประการใดก็ตาม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้น�าก็จะต้อง
เป็นผู้ที่สามารถท�าให้มวลชนนั้นเชื่อฟังได้ เบ็ดเสร็จนิยมจึงไม่ได้เป็นการกระท�าของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่เพียง
ฝ่ายเดียว หากแต่เป็นการกระท�าร่วมกันของทั้งผู้น�าและมวลชน โดยมีมวลชนเป็นก�าลังขับเคลื่อนหลัก
และมีผู้น�าเป็นเพียงผู้ก�าหนดทิศทางเท่านั้น ระบอบเบ็ดเสร็จนิยมจะตั้งมั่นอยู่ได้ ก็ด้วยแต่มวลชน
ที่คอยค�้าจุนให้อุดมการณ์แบบนี้อยู่รอดไปได้ ดังนั้น ระบอบเบ็ดเสร็จนิยมจึงท�าลายความชอบธรรม
ของ “อ�านาจชอบธรรม” ของรัฐ/รัฐบาล ไปได้ในที่สุด เพราะ การเคลื่อนไหวแบบเบ็ดเสร็จนิยมดังกล่าว
ไม่ต้องการรูปแบบ หรือกฎเกณฑ์ใด ๆ ของสถาบันทางการเมือง เนื่องจากการมีอ�านาจชอบธรรม
ต้องอาศัยการยึดมั่น/ยึดโยงในกฎเกณฑ์หรือสถาบันทางสังคมบางอย่าง จึงไม่จ�าเป็น และถูกท�าลายลง
อ�านาจรัฐและรัฐบาล จึงหมดความส�าคัญลงไปพร้อม ๆ กับอ�านาจอันชอบธรรมหรืออ�านาจรัฐนั้น ๆ 54
ที่กล่าวมาไม่ว่าจะเป็นเรื่องเชื้อชาติ เรื่องชนชั้น การพยายามท�าลายความแตกต่างและระบบ
สังคมแบบเดิมเพื่อสถาปนาสิ่งใหม่นั้น ล้วนเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยมวลชนที่เป็นหนึ่งเดียว ที่ต้องปราศจาก
พันธนาการทางสังคม ที่ถูกท�าลายไปแล้วทั้งสิ้น การพยายามเหมารวมว่า มนุษย์ ที่เป็นประชากรในรัฐ
หนึ่ง ๆ นั้นเป็นประชาชนเหมือนกัน จึงเป็นจุดก�าเนิดในการลดทอนความเป็นองค์ประธานของมนุษย์
ที่มีภูมิหลังที่แตกต่างกัน มาเป็นมวลชนที่มีความเหมือนกัน มีส�านึกบางอย่างร่วมกัน ที่พร้อมจะกระท�าการ
บางอย่างให้บรรลุเป้าหมายไปด้วยกัน เบ็ดเสร็จนิยมจึงพยายามสร้างส�านึกตรงนี้ ผ่านการโฆษณาชวนเชื่อ
53 Ibid., 500.
54 Arendt and Kohn, Between Past and Future, 91–92.