Page 32 - kpiebook67011
P. 32
31
แต่ขณะเดียวกัน เบ็ดเสร็จนิยมก็ต้องการมวลชน ซึ่งเป็นประชากรของรัฐในการเป็นเครื่องมือ การกระท�า
ที่ต้องลดจ�านวนประชากรจึงไม่ใช่ผลดีต่อเบ็ดเสร็จนิยมเช่นกัน
มวลชนที่กล่าวถึงจึงเป็นมวลชนที่ไม่ได้ยึดโยงกันด้วยผลประโยชน์ และไม่มีความสัมพันธ์
ทางชนชั้น รวมถึงมีเป้าหมายร่วมกัน พวกเขาไม่ได้แยแสต่ออะไรในสังคมขนาดนั้น จึงไม่ได้มีจุดร่วมกัน
ในการเป็นสมาชิกในองค์กร พรรคการเมือง หน่วยงานราชการ อาชีพ หรือกระทั่งสหภาพแรงงาน
จริง ๆ แล้ว มวลชนเหล่านี้อาจมีอยู่ในทุก ๆ ประเทศ และเป็นคนจ�านวนมากที่ไม่ได้แยแสทางการเมือง
50
มากมาย ไม่ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกพรรคการเมือง และอาจไม่ได้ใช้สิทธิ์เลือกตั้งด้วยซ�้า กล่าวคือ
มวลชนเหล่านั้นมีลักษณะเป็นปัจเจกชน (individualistic) ที่ถูกแยกออกจากสังคม และไม่ได้เป็นผู้ที่
มีความกระตือรือร้นเพื่อมีส่วนร่วมทางการเมือง (political engagement) มากนัก เช่น ในยุคที่นาซี
ในเยอรมนี และขบวนการคอมมิวนิสต์ต่าง ๆ ในยุโรปหลังปี 1930 ขบวนการเหล่านี้แต่งตั้งสมาชิก
จากมวลชนที่เป็นผู้ที่ไม่แยแสต่อการเมืองเหล่านี้ ที่องค์กรหรือสถาบันทางสังคมอื่น ๆ เอาพวกเขาแล้ว
ส่งผลท�าให้สมาชิกของพรรคเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ไม่เคยปรากฏอยู่ในแวดวงการเมือง การท�าแบบนี้
ไม่เพียงแต่เป็นการท�าให้การชี้น�าของขบวนการเป็นไปได้ง่ายขึ้น เพราะ ไม่เกิดการโต้เถียง— เนื่องจาก
พวกเขาไม่ได้แยแสอะไรอยู่แล้ว— แต่ยังเป็นการโฆษณาชวนเชื่อทางการเมืองแบบใหม่ ที่ต่อต้านระบบ
พรรคการเมืองที่มีการจัดตั้งอย่างเป็นระบบ มาเป็นพรรคการเมืองแบบที่สมาชิกพรรคไม่สามารถเข้าถึง
และไม่ได้ถูกสปอยล์จากระบบพรรคการเมือง 51
อย่างที่ได้กล่าวไป ระบอบเบ็ดเสร็จนิยม เป็นระบอบที่การเคลื่อนไหวของมันต้องการให้คนนั้น
อยู่ห่างจากการมีส่วนร่วมของพลเมือง (civic engagement) ให้ได้มากที่สุด กล่าวคือ หากการเป็นพลเมือง
คือการเข้าอกเข้าใจความส�าคัญของการรับผิดชอบต่อสังคมโดยรวม ผ่านการมีส่วนร่วมไม่ว่าจะทางการเมือง
หรือทางสังคมอื่น ๆ ใดด้วยแล้ว เบ็ดเสร็จนิยมต้องการที่จะตัดพันธะนั้นออกจากประชาชนทุกคน
ให้กลายเป็นปัจเจกชนที่มารวมกันเป็นจ�านวนมาก ให้กลายมาเป็นมวลชนที่ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องแยแส
กับอะไรมาก จึงสามารถเป็นเครื่องมือให้กับระบอบได้มีประสิทธิภาพมาก ความส�าเร็จของขบวนการ
เบ็ดเสร็จนิยมจึงเปิดให้เห็นถึงภาพลวงตาในระบบประชาธิปไตยแบบตัวแทน ที่ประชาชนเลือกตัวแทน
เข้าไปท�าหน้าที่ในปกครอง แต่มวลชนก็ท�าให้เห็นว่ามวลชนที่ไม่ได้แยแสทางการเมืองนี่แหละสามารถ
เป็นเสียงข้างมากที่แท้จริงในการปกครองเองได้เลย ขณะที่ประเทศประชาธิปไตยทั้งหลายที่ใช้ระบบ
ตัวแทนนั้น แท้จริงแล้วคือการปกครองด้วยเสียงข้างน้อย เหล่าตัวแทนนั้นปกครองบริหารโดยไม่ได้
มีความยึดโยงกับประชาชนเลย เพียงแต่ยึดติดกับสถาบันและองค์กรต่าง ๆ เท่านั้น แต่มวลชนนั้น
ได้แสดงให้เห็นว่าระบบตัวแทน ระบบรัฐสภาที่มีอยู่นั้น เป็นเพียงภาพลวงตาของประชาธิปไตย
ความไม่เชื่อมั่นในระบบตัวแทนจึงเป็นที่มาของการอ้างว่าระบบกฎหมู่ (majority rule) นั้นสะท้อน
ความเป็นจริงของสังคมมากกว่ารัฐธรรมนูญ
52
50 Ibid., 407.
51 Ibid., 408.
52 Ibid., 409.