Page 15 - kpiebook67011
P. 15

14      ประชาธิปไตยในความคิดของฮันนาห์ อาเรนดท์







                      อาเรนดท์นั้นได้รับอิทธิพลทางความคิดทางปรัชญาทั้งจากไฮเด็กเกอร์และยาสเปอร์ เนื่องจาก

             ได้เคยศึกษากับทั้งคู่ ก็มีนักวิชาการหลายคนมีข้อสังเกตที่แตกต่างกันไป เช่น บ้างก็ว่าอาเรนดท์นั้น
             ไม่ได้เคยเห็นความผิดพลาดของไฮเด็กเกอร์จนพยายามติดต่อกับเขาหลังจากสงครมโลกครั้งที่สอง

             บ้างก็ว่างานของอาเรนดท์นั้นวางอยู่บนวิธีการของไฮเด็กเกอร์ บ้างก็บอกว่างานของอาเรนด์นั้นเป็น
             การวิพากษ์ไฮเด็กเกอร์เสียมากกว่า แต่อย่างไรก็ดีกับไฮเด็กเกอร์นั้นเคยเป็นทั้ง “ครู” และ “คู่รัก” ด้วย

                                                                                      8
             จึงมีการตั้งข้อสังเกตกันว่าความคิดของเธอน่าจะได้มาจากไฮเด็กเกอร์เสียส่วนใหญ่   มากกว่ายาสเปอร์
             ที่แม้จะเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาปริญญาเอก แต่ก็เป็นเพียงเพื่อนที่ดีต่อกันเท่านั้น


                      แม้ว่าจะเป็นเรื่องแปลกที่ความคิดในเรื่องทางการเมืองของทั้งสามคน อาเรนดท์—ไฮเด็กเกอร์—

             ยาสเปอร์นั้น จะมีทั้งความเหมือนและความแตกต่างที่ทับซ้อนกันอยู่เป็นเสมือนเป็นความคิดแบบสามเส้า
             ที่หลังจากสาธารณะไวมาร์ (Weimar republic, 1918 - 1933) นั้นสิ้นสุดลง มีเพียงอาเรนดท์เท่านั้น
             ที่เข้าใจว่าขบวนการการต่อต้านยิวที่มีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าเป็นการเปลี่ยนมาสู่ยุคใหม่

             คือยุคของนาซี ขณะที่ยาสเปอร์นั้นวิพากษ์วิจารณ์ขบวนการต่อต้านยิวด้วยเหตุผลแบบเสรีนิยมเท่านั้น

             แต่ไฮเด็กเกอร์เห็นว่าการต่อต้านยิวเป็นสิ่งชั่วร้ายที่จ�าเป็นในการหล่อหลอมการฟื้นคืนของชาติเยอรมัน
             ทั้งสามยังมีมุมมองต่อความเป็นเยอรมันที่แตกต่างกันด้วย ทั้งไฮเด็กเกอร์และยาสเปอร์นั้นเห็นพ้องว่า
             ตนมีหน้าที่ในการปรับปรุงบูรณะมหาวิทยาลัยในเยอรมันในนามของการฟื้นคืนชีพของชาติ ฝั่งของ

             อาเรนดท์จึงรู้สึก “เป็นอื่น” ในแง่นี้ เพราะความเป็นยิวของเธอที่ถูกแบ่งแยกออกจากความเป็นเยอรมัน
                                                                                                      9
             แต่ความคิดของทั้งสามในแง่ของวิธีคิดนั้น ยังคงมีส่วนคล้ายกันอยู่


                      ทั้งสามนั้นมีความมีจุดที่ร่วมกันอยู่ เช่น การมองเห็นถึงวิกฤตของภาวะสมัยใหม่ (modernity)
             ที่มีการเปลี่ยนแปลงทางความคิด อันมีผลมาจากความคิดหรืออุดมการณ์แบบประชาธิปไตยแบบมวลชน
             (mass democracy) และเสรีนิยม (liberalism) หรือ การตั้งค�าถามความคิดที่ให้องค์ประธานเป็นศูนย์กลาง

             ของความสัมพันธ์กับโลกและสรรพสิ่งต่าง ๆ ทั้งหลาย เช่น ความคิดแบบจิตนิยม (Idealism) ตั้งแต่เดการ์ต

             (Rene Descartes) ที่แยกระหว่างกายกับจิต และการต่อต้านปรัชญาเหนือโลก (transcendental philosophy)
             ที่เชื่อว่าความจริงหรือมีสารัตธะ (essence) ที่เป็นจริงและเปลี่ยนแปลงไม่ได้อยู่นอกเหนือบริบทของโลก
             และสังคมต่าง ๆ กล่าวคือ ความรู้หรือตัวตนที่เป็นสากลอยู่เหนือกาลเวลาเหล่านี้ รวมถึงความรู้แบบ

             อภิปรัชญา (metaphysics) นั้น เป็นสิ่งที่ทั้งสามปฏิเสธทั้งหมด  10








             8    Karin Fry, ‘Hannah Arendt and Philosophical Influence’, Research in Phenomenology 50, no. 2 (22 July
             2020): 162, https://doi.org/10.1163/15691640-12341445.
             9    Antonia Grunenberg and Adrian Daub, ‘Arendt, Heidegger, Jaspers: Thinking Through the Breach
             in Tradition’, Social Research 74, no. 4 (2007): 1003–4.
             10   Grunenberg and Daub, ‘Arendt, Heidegger, Jaspers’.
   10   11   12   13   14   15   16   17   18   19   20