Page 18 - kpiebook67011
P. 18
17
การเล่าเรื่อง ซึ่งบางครั้งก็ยากแก่การเข้าใจ แต่นั่นก็เพื่อให้ผู้อ่านนั้นขบคิดและถกเถียงไปกับปัญหา
และความไม่ต่อเนื่องและความไม่สมบูรณ์แบบของเรื่องเล่านั้น ๆ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยง
และความแตกต่างของการใช้ความคิดทางปรัชญาและเหตุผล บริบทความเป็นจริง และการตัดสิน
(judgment) คุณค่าของเรื่องเล่านั้น ๆ ซึ่งเป็นรูปแบบของงานเขียนที่มีลักษณะเฉพาะของเธอ เช่น
Eichmann in Jerusalem (1960), On Violence (1963), Men in Dark Times (1970), The Life of
the Mind (1981) Essays in Understanding, 1930-1954: Formation, Exile, and Totalitarianism
(2005) เป็นต้น
1.3 ตัวตนกับการเมือง
แน่นอนว่าคงไม่มีใครหลุดพ้นออกไปจากความรู้หรือกรอบความคิดแบบใดแบบหนึ่งได้ แม้ว่า
จะไม่ได้เป็นความรู้หรือความคิดที่เป็นแบบแผนที่เคยปรากฏอยู่ก่อนหน้า เพราะ ทุกคนต่างก็ได้รับ
อิทธิพลมา ไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่งแทบทั้งสิ้น การถูกจัดเข้าให้ไปอยู่ในประเภทต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสาขาวิชา
ตลอดจนเรื่องชีวิตส่วนตัวย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเราทุกคนต่างอยู่ในสายตาของคนอื่นเสมอ
เมื่อเรามองและพิจารณาสิ่งอื่น เราอาจมีสถานะเป็นองค์ประธาน แต่ในทางกลับกัน เมื่อคนอื่นมองเรา
เราก็อาจเป็นเพียงวัตถุขององค์ประธานอื่น ๆ ได้เช่นกัน อาเรนดท์เองก็หนีไม่พ้นสิ่งเหล่านี้ เราต่างก็เป็น
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับผู้อื่น เช่นเดียวกับที่ผู้อื่นเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับเรา สิ่งที่ส�าคัญจึงคือ
การรับรู้ขององค์ประธานต่างหาก ว่าองค์ประธานแต่ละตนนั้น จะรับรู้วัตถุหรือปรากฏการณ์นั้นได้ว่า
อย่างไร แต่สิ่งที่แตกต่างนั้นอาจเป็นเพราะอาเรนดท์ไม่ได้สนใจมากนัก ว่าคนอื่นจะคิดกับเธออย่างไร
เช่น เมื่อ ฮันส์ มอร์แกนทาว (Hans Morgenthau) นักทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศผู้เป็น
มิตรของเธอได้ถามถึงจุดยืนว่าเธอเป็นเสรีนิยมหรืออนุรักษ์นิยม เธอคิดว่าค�าถามแบบนี้นั้นไม่ค่อยจะ
มีสาระ และไม่ได้สนใจเลยว่าเธอจะเป็นอะไร เพราะค�าถามที่แท้จริงในศตวรรษที่ 20 นั้นไม่สามารถ
15
ถูกตอบได้ด้วยจุดยืนแบบนั้น สิ่งที่อาเรนดท์ตอบต่อค�าถามเชิงอุดมการณ์นั้นอยู่ในศตวรรษที่ 20
แต่ ณ ปัจจุบันในศตวรรษที่ 21 ก็ยังมีการตั้งค�าถามในลักษณะอุดมณ์การณ์แบบนี้ ซึ่งแน่นอนว่าไม่เพียงพอ
ต่อการแก้ปัญหาในปัจจุบัน
อีกกรณีหนึ่งที่ส�าคัญคือ กรณีของการเป็นนักวิชาการ “ผู้หญิง” เพราะในปัจจุบันมักมีการทึกทัก
เอากันเป็นเสมือนอุปทานหมู่ว่า ไม่แม้แต่นักวิชาการ แต่ผู้หญิงนั้นก็ควรจะต้องเป็น “นักสตรีนิยม
(feminist)” แต่อาเรนดท์นั้นเชื่อว่าการเป็นผู้หญิงนั้นไม่ใช่ประเด็น ในตอนที่เธอได้รับการทาบทามให้
ด�ารงต�าแหน่งศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยปริ๊นสตันนั้น เธอเคยแสดงเจตนาว่าจะไม่รับต�าแหน่ง เพราะทาง
มหาวิทยาลัยพยายามจะเน้นว่าเธอเป็น “ผู้หญิงคนแรก” ที่จะมารับต�าแหน่งศาสตราจารย์ในหนังสือพิมพ์
15 Ibid., 29.