Page 17 - kpiebook67011
P. 17

16      ประชาธิปไตยในความคิดของฮันนาห์ อาเรนดท์







                      แต่อาเรนดท์ก็ไม่ใช่นักปรัชญาการเมืองที่เข้าหาส�านักคิดใด ๆ มากไปกว่านั้น เธอยังไม่อยาก

                                                13
             ที่จะเรียกตัวเองว่า “นักปรัชญา” ด้วยซ�้า   หากแต่ต้องการอธิบายปรากฏการณ์ของการเมืองแบบที่เธอเห็น
             จึงไม่จ�าเป็นต้องอิงกับส�านัก แต่นั่นก็ท�าให้การเข้าถึงและความนิยมต�่ากว่านักปรัชญาตามขนบหรือ

             ส�านักคิดทั่วไป เพราะการศึกษาปรัชญาในโลกตะวันตก โดยเฉพาะในโลกภาษาอังกฤษ หรือที่เรียกว่า
             Anglo-American นั้น ก็จะเน้นศึกษาในเชิงกรอบคิดหรือส�านักคิด เช่น ปรัชญาแบบจิตนิยม (Idealism)

             สุขนิยม (Hedonism) วัตถุนิยม (materialism) เสรีนิยม (liberalism) อัตถิภาวนิยม (Existentialism)
             ปรากฏการณ์วิทยา (Phenomenology) โครงสร้างนิยม (Structuralism) มาร์กซิสม์ (Marxism) นอกจากนี้

             ยังมีส�านักคิดที่แยกย่อยลงไปอีก มาร์กซิสม์มนุษย์นิยม (Humanist Marxism) มาร์กซิสม์เชิงวิเคราะห์
             (Analytical Marxism) แม้แต่ปรัชญาการเมือง (Political philosophy) ก็ยังถูกแยกออกมาเป็นหมวดหมู่หนึ่ง

             หรือแบ่งแยกตามยุคสมัย เช่น ปรัชญากรีกโบราณ (Ancient Greek) ปรัชญายุคกลาง (Medieval
             philosophy) ปรัชญาสมัยใหม่ (Modern philosophy) หรือปรัชญาหลังสมัยใหม่ (Post-Modern

             philosophy) หรือแม้แต่ปรัชญาร่วมสมัย (contemporary philosophy) นอกจากนี้ยังมีการแบ่งตามพื้นที่
             เช่น ปรัชญาพื้นทวีป (Continental philosophy) ที่มีวิธีคิดแตกต่างกับปรัชญาเชิงวิเคราะห์ (Analytic

             philosophy) เป็นต้น แม้ว่าจะมีการพยายามจัดให้อาเรนดท์ไปอยู่ในหมวดหมู่ของหลังสมัยใหม่
                                                                                         14
             เนื่องจากเธอมักมีงานเขียนที่ไม่ใช้การอธิบายตามเรื่องเล่ากระแสหลัก (meta-narrative)   ซึ่งเพียงแค่นั้น
             คงจะไม่สามารถจัดใครเข้าไปอยู่หมวดหมู่ของหลังสมัยใหม่ได้ มิเช่นนั้น งานเขียนของทุกคนก็คงจะเป็น
             หลังสมัยใหม่หมด เพราะต่างคนก็ต่างผลิตเรื่องเล่าของตัวเองทั้งสิ้น


                      นอกจากนี้อาเรนดท์ยังได้มีการใช้ความคิดทางเศรษฐศาสตร์การเมืองแนวของมาร์กซ (Marxism)
             ที่มีการอธิบายถึงการแบ่งชนชั้นทางเศรษฐกิจเป็นสองชนชั้น คือ ชนชั้นนายทุน (bourgeoisie)

             ที่ถือปัจจัยการผลิต และชนนั้นแรงงานที่ไม่ได้เป็นผู้ถือปัจจัยการผลิตและท�างานโดยใช้แรงงานแลกกับ

             ค่าจ้างจากนายทุน (Marx and Engels 2014, 23-25) และใช้กรอบความคิดเกี่ยวกับแรงงานกับความสัมพันธ์
             ทางการผลิต (Marx and Mandel 1992, 172-176) ในการอธิบายการเกิดขึ้นของลัทธิเบ็ดเสร็จนิยม
             โดยการสลายชนชั้น และอธิบายกิจกรรมของสภาวะมนุษย์ Vita Activa โดยใช้กรอบคิดแบบมาร์กซิสต์

             แต่ก็ไม่ได้ใช้ความคิดแบบมาร์กซิสต์เพื่อบรรลุจุดประสงค์ทางการเมือง อาเรนดท์จึงไม่ได้ควรถูกจัดอยู่

             กลุ่มผู้ที่อยู่ในลัทธิมาร์กซเช่นกัน เพียงแต่ใช้ค�าอธิบายและน�ามาอธิบายต่อ โดยการสร้างค�าอธิบายใหม่
             และข้อโต้แย้ง (argument) ของทฤษฎีหรือกรอบคิดเก่าที่มีอยู่แล้ว


                      งานของอาเรนดท์จึงไม่ใช่เพียงแค่งานแบบที่มีการเล่าเรื่องที่เป็นความเรียงของความเป็นไป
             ทางประวัติศาสตร์ ซึ่งแตกต่างไปจากงานทางปรัชญา ประวัติศาสตร์ หรือรัฐศาสตร์ทั่ว ๆ ไป การเสนอ

             มุมมองของอาเรนดท์จึงเป็นไปในแบบที่ไม่ได้เป็นไปตามวิธีวิทยาตามขนบทั่วไปที่เป็นระบบระเบียบ

             เธอพยายามที่จะเข้าถึงปรากฏการณ์ในแบบที่ลงลึกที่สุด ซึ่งก็เป็นการวิพากษ์ถึงปัญหาไปพร้อม ๆ กับ


             13   Hannah Arendt, The Life of the Mind, ed. Mary McCarthy (Boston: Mariner Books, 1981), 3.
             14   Owens, ‘Hannah Arendt’, 35.
   12   13   14   15   16   17   18   19   20   21   22