Page 31 - kpiebook66024
P. 31
1
การตรวจสอบถ่วงดุลระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร ภายใต้ระบบรัฐสภา การตรวจสอบถ่วงดุลระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร ภายใต้ระบบรัฐสภา
(2) การนำร่างกฎหมายที่ฝ่ายนิติบัญญัติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ
ไปผ่านการออกเสียงประชามติ
ในกรณีของประเทศที่ประมุขของฝ่ายบริหารและประมุขของ
ฝ่ายนิติบัญญัติมีที่มาจากคนละที่กัน ก็อาจเกิดกรณีที่ฝ่ายบริหารต้องการผ่าน
ร่างกฎหมายบางประการที่อาจกระทบต่อโครงสร้างเชิงอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ
ส่งผลให้ฝ่ายนิติบัญญัติไม่ผ่านร่างกฎหมายดังกล่าว บางประเทศอย่างเช่นประเทศ
ฝรั่งเศสอาจกำหนดให้ฝ่ายบริหารสามารถนำร่างกฎหมายดังกล่าวไปผ่านการออกเสียง
ประชามติแทนการผ่านรัฐสภา เพื่อให้ประชาชนให้ความเห็นชอบก็ได้
(3) การกำหนดให้ฝ่ายบริหารสามารถยับยั้งร่างกฎหมาย
การใช้อำนาจในลักษณะนี้มักจะเป็นการบัญญัติให้ประมุขแห่งรัฐ
เป็นผู้ใช้อำนาจ เพื่อยับยั้งร่างกฎหมายที่อาจจะออกมาโดยขัดต่อเจตนารมณ์ของประชาชน
ซึ่งในช่วงที่มีการยับยั้งร่างกฎหมาย ก็อาจทำให้มีการรับรู้ถึงมติสาธารณะเกี่ยวกับ
ร่างกฎหมายนั้นได้
2.3
แนวคิดเกี่ยวกับระบบรัฐสภาที่ทำให้มีเหตุผลขึ้น
(Rationalized
Parliamentary
System)
ถ้าหากพิจารณาจากแนวคิดทั้งสองประการที่กล่าวถึงข้างต้น จะเห็นว่าประเทศ
ที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยระบบรัฐสภาซึ่งเลือกนำหลักการแบ่งแยกการใช้
อำนาจมาใช้ ในที่สุดจะเกิดรูปแบบระบบรัฐสภาแบบอำนาจเดี่ยว (monist) ดังที่
ชาติชาย ณ เชียงใหม่ ได้สรุปในงานวิจัยเรื่อง “การจัดความสัมพันธ์ระหว่าง
ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารภายใต้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560” ว่า ระบบดังกล่าว
จะนำไปสู่ปรากฏการณ์ที่กลุ่มหรือพรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมากในรัฐสภาจะสามารถ
กำหนดให้ผู้นำของกลุ่มหรือพรรคนั้นสามารถเป็นผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้
จึงอาจกล่าวได้ว่าบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้นจะกลายเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด
ทั้งในทางบริหารและนิติบัญญัติ ที่สำคัญ หลังสงครามโลกครั้งที่สอง หลายประเทศ
ได้ตระหนักถึงปัญหานี้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในโลกตะวันตกอย่าง
เยอรมนี ที่ระบบดังกล่าวได้ทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการใช้ระบบรัฐสภาอาจนำไปสู่
กรณีที่พรรคใดพรรคหนึ่งสามารถคุมเสียงข้างมากจนใช้อำนาจนิติบัญญัติและบริหาร