Page 41 - kpiebook66023
P. 41

มาตรการทางกฎหมาย : ศึกษารูปแบบนิติบุคคลที่เหมาะสมเพื่อการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม




                  ตัดหลักการดังกล่าวทิ้ง เนื่องจากวิสาหกิจเพื่อสังคมตามแนวคิดทั่วไปแล้ว เป็นธุรกิจเพื่อสังคม (social
                  business) ที่ต้องการจะสามารถแข่งขันกับธุรกิจหลักในตลาดได้ รวมถึงความสามารถที่จะเติบโตในระดับที่

                  สามารถเป็นบริษัทมหาชนจ ากัดที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ ซึ่งหลักการดังกล่าวอาจไม่สะท้อน
                                                                                                 69
                  แนวคิดของหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่เน้นการเติบโตอย่างพอเพียงได้อย่างตรงวัตถุประสงค์
                                วิสาหกิจเพื่อสังคมที่จัดตั้งในรูปแบบของบริษัทและห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลจะไม่ติด
                  องค์ประกอบในเรื่องการด าเนินกิจการเลย เพราะเป็นลักษณะทั่วไปของการด าเนินธุรกิจปกติอยู่แล้ว
                  แต่วิสาหกิจเพื่อสังคมที่จัดตั้งในรูปแบบขององค์กรไม่แสวงหาก าไร เช่น มูลนิธิหรือสมาคม อาจประสบปัญหา

                  ในการด าเนินกิจกรรมดังกล่าวได้ เนื่องจากมูลนิธิส่วนใหญ่ไม่ได้จัดตั้งเพื่อผลิตหรือจ าหน่ายสินค้าหรือบริการ
                  เป็นหลัก และส่วนใหญ่จะพึ่งพาเงินบริจาคและเงินสนับสนุนเป็นส าคัญ อาจมีการจ าหน่ายสินค้าบ้าง แต่ไม่ได้
                  ถือว่าเป็นการด าเนินการหลักของมูลนิธิ ประเด็นดังกล่าวเป็นข้อจ ากัดประการหนึ่งที่อาจท าให้องค์กรไม่
                  แสวงหาก าไร ไม่สามารถจดทะเบียนเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมได้ ดังนั้น มาตรา 5(2) แห่ง พ.ร.บ.ส่งเสริมวิสาหกิจ

                  เพื่อสังคม จึงได้ก าหนดข้อยกเว้นให้กับองค์กรที่ไม่ได้มีรายได้หลักจากการจ าหน่ายสินค้าหรือบริการไว้

                                อย่างไรก็ตาม วิสาหกิจเพื่อสังคมจ าเป็นที่จะต้องหารายได้เพื่อเลี้ยงตนเองให้ได้ และ
                  รายได้ดังกล่าวควรมาจากการประกอบการทางธุรกิจเพื่อลดการพึ่งพาเงินช่วยเหลือต่าง ๆ เพราะเงิน
                  ช่วยเหลือเหล่านี้ไม่มีความแน่นอนและยั่งยืน รัฐอาจเลิกการสนับสนุนได้ และเงินบริจาคก็ไม่ใช่แหล่งเงินได้
                  ที่มั่นคงถาวร และเมื่อวิสาหกิจเพื่อสังคมไม่สามารถเลี้ยงตนเองได้แล้ว ผู้ที่ได้รับผลกระทบที่สุดก็ คือ

                  กลุ่มผู้ด้อยโอกาสที่วิสาหกิจเพื่อสังคมช่วยเหลืออีกต่อหนึ่ง และเมื่อไม่มีองค์กรภาคเอกชนเข้ามาท าหน้าที่
                  ช่วยเหลือสังคมแทนรัฐ ภาระหน้าที่ดังกล่าวย่อมเป็นของภาครัฐ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้สามารถให้การช่วยเหลือ
                                                                                                        70
                  ได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพอย่างเต็มที่ แนวคิดดังกล่าวเป็นเรื่องของบทบาทขององค์กรภาคที่สาม
                  ที่มีส่วนส าคัญอย่างยิ่งในการช่วยเหลือสังคมแทนภาครัฐ
                                โดยสรุปแล้ว วิสาหกิจเพื่อสังคมจึงจ าเป็นต้องมีรายได้ที่มีความมั่นคงและยั่งยืน และลด

                  การพึ่งพาเงินบริจาคและเงินสนับสนุนจากภาครัฐให้น้อยที่สุด ไม่เช่นนั้น จะกลายเป็นว่าภาครัฐจะต้อง
                  ช่วยเหลือทั้งผู้ด้อยโอกาส และวิสาหกิจเพื่อสังคมที่ช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสอีกที จึงเป็นเหตุผลสนับสนุนว่า
                  เหตุใดผู้เขียนจึงเห็นด้วยกับการจัดตั้งวิสาหกิจเพื่อสังคมในรูปแบบบริษัทนั่นเอง แต่หากจะให้มูลนิธิเป็น

                  วิสาหกิจเพื่อสังคมตามแนวคิดของรูปแบบองค์กรไม่แสวงหาก าไรที่อาศัยความริเริ่มด้านการประกอบการ
                  ทางธุรกิจ (Entrepreneurial Non-Profit – ENP) ที่กล่าวไว้ในบทที่ 2 นั้น เงื่อนไขในเรื่องการหารายได้
                  จากธุรกิจก็ควรน ามาบังคับใช้กับมูลนิธิด้วย แต่สามารถก าหนดสัดส่วนที่น้อยกว่าบริษัทได้

                                (3) วิสาหกิจเพื่อสังคมจะต้องมีวัตถุประสงค์เพื่อสังคมเป็นเป้าหมายหลักของกิจการ






                  69  ประพิน นุชเปี่ยม. (2560). กฎหมายกับการพัฒนากิจการเพื่อสังคม : อีกทางเลือกของการพัฒนาอย่าง
                  ยั่งยืนภายใต้หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง. การประชุมวิชาการประจ าปี 2560 สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหาร
                  ศาสตร์, มีนาคม 2560, หน้า 997-1018.
                  70  Jacques Defourny. (2001). From Third Sector to Social Enterprise, in Borzaga, C. & J. Defourny, eds. The   26
                  Emergence of Social Enterprise. London and New York: Routledge, 1-18.
   36   37   38   39   40   41   42   43   44   45   46