Page 17 - kpiebook66023
P. 17

มาตรการทางกฎหมาย : ศึกษารูปแบบนิติบุคคลที่เหมาะสมเพื่อการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม




                  ความรู้แก่ชาวนาในการปลูกข้าวแบบไม่ใช้สารเคมี ต่อมาจัดตั้งบริษัทโดยให้มูลนิธิเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
                  โดยบริษัทดังกล่าวอาจช่วยท าการตลาดให้กับชาวนาเพื่อเพิ่มช่องทางการจ าหน่ายข้าวปลอดสารพิษ
                  ก าไรของบริษัทจะแบ่งให้กับมูลนิธิในฐานะผู้ถือหุ้นตามสัดส่วนของหุ้นต่อไป แม้วิธีการนี้จะเป็นแนวทางการ

                  แก้ปัญหารูปแบบหนึ่ง แต่ก็ยังมีข้อเสียหลายประการ กล่าวคือ การจัดตั้งและบริหารงานบริษัทมีกฎหมายที่
                  เกี่ยวข้องจ านวนมาก ซึ่งมีค่าใช้จ่ายและอาจจ าเป็นต้องมีผู้ที่เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในการบริหารงาน
                  บุคลากรขององค์กรไม่แสวงหาก าไรอาจจะขาดความช านาญในเรื่องทางธุรกิจ และที่ส าคัญยิ่งอีกประการ คือ
                  การสื่อสารกับผู้สนับสนุนหรือผู้บริจาคให้เข้าใจว่า บริษัทที่จัดตั้งขึ้นนี้ไม่ได้แสวงหาก าไรเป็นหลักเช่นเดียวกับ

                  บริษัททั่วไป ไม่เช่นนั้นอาจเกิดความคลางแคลงใจและความไม่มั่นใจต่อทั้งมูลนิธิและบริษัทได้ เช่น
                                                                                                      19
                  จะมีวิธีการตรวจสอบได้อย่างไรว่าก าไรของบริษัทจะไม่ถูกน าไปใช้นอกเหนือจากเพื่อประโยชน์ของมูลนิธิ
                                หากพิจารณาจากแนวคิดข้างต้น อาจสรุปได้ว่าองค์กรไม่แสวงหาก าไรแบบดั้งเดิมที่ไม่มีการ

                  ปรับตัวและยังคงพึ่งพาเงินบริจาคและเงินช่วยเหลือจากภาครัฐเป็นส าคัญ ยังไม่ถือว่าเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม
                  ในขณะที่องค์กรไม่แสวงหาก าไรที่พยายามหารายได้จากการพึ่งพาตลาดมากขึ้น จะถือว่าเป็นวิสาหกิจเพื่อ
                  สังคมตามรูปแบบที่เรียกว่า ENP อย่างไรก็ตาม กฎหมายวิสาหกิจเพื่อสังคมของประเทศไทยนั้น อนุญาตให้
                  มูลนิธิแบบดั้งเดิมสามารถจดทะเบียนเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมได้ และได้รับข้อยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตาม
                  เงื่อนไขบางประการในเรื่องเกี่ยวกับการหารายได้จากการท าธุรกิจ ซึ่งอาจไม่เป็นไปตามแนวคิดของวิสาหกิจ

                  เพื่อสังคมที่มีการศึกษา ซึ่งมูลนิธิเองก็ได้การสนับสนุนจากภาครัฐ จึงอาจไม่จ าเป็นต้องมาขอรับการ
                  สนับสนุนภายใต้วิสาหกิจเพื่อสังคมอีก และการจดทะเบียนเป็นมูลนิธิก็มีวัตถุประสงค์เพื่อสังคมอย่างชัดเจน
                  จึงอาจยังไม่ชัดเจนว่ามูลนิธิดั้งเดิมกับมูลนิธิที่จดทะเบียนเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมมีความแตกต่างกันอย่างไร

                  จริง ๆ แล้วมีบริษัทที่จัดตั้งขึ้นเพื่อด าเนินงานภายใต้มูลนิธิและมาจดทะเบียนเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคม เช่น
                  บริษัท ดอยค าผลิตภัณฑ์อาหาร จ ากัด ซึ่งด าเนินการภายใต้มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ หรือ
                  บริษัท เรย์วิสาหกิจเพื่อสังคม จ ากัดภายใต้มูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการ เป็นต้น อาจสามารถ
                  สะท้อนได้ประการหนึ่งว่า รูปแบบบริษัทน่าจะเหมาะสมกับการจดทะเบียนเป็นวิสาหกิจเพื่อสังคมเพราะ

                  สามารถสร้างรายได้จากธุรกิจได้ ในขณะที่มูลนิธิยังมีข้อจ ากัดในเรื่องดังกล่าวค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม
                  ประเด็นดังกล่าวจะมีการวิเคราะห์ในบทที่ 4 ต่อไป

                                2.4.2 รูปแบบสหกรณ์เพื่อสังคม (The Social Cooperative Model: SC)

                                สหกรณ์เป็นรูปแบบองค์กรที่เกิดจากการรวมกลุ่มของคนซึ่งมีจุดหมายและผลประโยชน์
                  ร่วมกัน (mutual interest) ในขณะที่รูปแบบสหกรณ์เพื่อสังคม หรือ SC เป็นการปรับตัวและพัฒนาจาก

                  การรวมกลุ่มเพื่อสร้างผลประโยชน์ให้กับกลุ่มของตนเองเป็นหลัก เปลี่ยนเป็นการมุ่งผลประโยชน์เพื่อสังคม
                  ส่วนรวม (general interest) เพิ่มด้วย ซึ่งหมายความว่า สหกรณ์ที่นอกจากจะสร้างประโยชน์ให้กับสมาชิก
                  แล้ว ในขณะเดียวกันก็สามารถท าประโยชน์เพื่อสังคมไปพร้อมกันได้ หรือในอีกนัยหนึ่งคือ สมาชิกของ
                  สหกรณ์ต้องยอมรับตั้งแต่ต้นว่าสหกรณ์มีวัตถุประสงค์เพื่อสังคมนอกเหนือจากการท าเพื่อประโยชน์ของ

                  สมาชิก ซึ่งอาจส่งผลให้สมาชิกอาจไม่ได้รับการแบ่งปันผลประโยชน์สูงสุด เพราะส่วนหนึ่งจะต้องใช้เพื่อ
                  วัตถุประสงค์เพื่อสังคมนั่นเอง ดังนั้น สหกรณ์ที่สามารถด าเนินการเพื่อประโยชน์ของสังคมไปพร้อมกับ


                  19  Christopher Cornforth. (2014). Understanding and Combating Mission Drift in Social Enterprises. Social   22
                  Enterprise Journal, 10(1), pp. 3-20.
   12   13   14   15   16   17   18   19   20   21   22