Page 20 - kpiebook66015
P. 20

“กำรที่รัฐบำลสำมำรถบริหำรประเทศไปได้อย่ำงรำบรื่นอย่ำงมีประสิทธิภำพเป็นระยะเวลำนำน
                                                             13
               พอสมควร ซึ่งปกติก็คือ ครบวำระของรัฐบำลแต่ละชุด”

                        ขณะเดียวกัน ค าว่า “เสถียรภาพทางการเมือง” หมายถึง “สภำพทำงกำรเมืองที่มีควำมสงบรำบรื่น
               มีกำรเคำรพและปฏิบัติตำมกฎ กติกำทำงกำรเมือง และการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลเป็นไปตามกติกา”  ด้วยเหตุ
                                                                                                 14
               นี้ ในประเทศหนึ่ง ๆ จึงอาจเกิดปรากฏการณ์ที่รัฐบาลมีเสถียรภาพ นั่นคือ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลบ่อย
               แต่รัฐบาลนั้นเป็นรัฐบาลที่มีที่มาที่ประชาชนไม่ยอมรับ ซึ่งถือว่าประเทศนั้นขาดเสถียรภาพทางการเมือง และ

               ในขณะเดียวกัน ประเทศหนึ่ง ๆ อาจมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลบ่อยครั้ง แต่การเปลี่ยนแปลงเป็นไปตามกฎ
               กติกา นั่นเท่ากับว่าประเทศนั้นขาดเสถียรภาพรัฐบาล แต่มีเสถียรภาพทางการเมือง เป็นต้น


                        นอกจากนี้ ชาติชายยังได้พยายามอธิบายข้อดีของการมีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ โดยการมีรัฐบาลที่มี
               เสถียรภาพจะท าให้เกิดการวางนโยบายในระยะยาว ความต่อเนื่องในการด าเนินนโยบายและความต่อเนื่องใน

               การบริหารราชการแผ่นดิน ที่ส าคัญ รัฐบาลที่มีเสถียรภาพยังก่อให้เกิดความมั่นใจต่อข้าราชการที่ต้องปฏิบัติ
               ตามนโยบายของรัฐบาล ความมั่นใจต่อภาคเอกชนที่จะเข้ามาลงทุนเพราะจะท าให้ภาคเอกชนสามารถมั่นใจ
               กับนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาลได้ และความมั่นใจต่อประชาชน ตลอดจนส่งผลต่อประสิทธิภาพในการ

               ปฏิบัติหน้าที่ของรัฐบาล กล่าวคือ ถ้าหากรัฐบาลมีเสถียรภาพก็จะสามารถมุ่งไปที่การปฏิบัติงานเพื่อดูแล
               ประชาชนได้อย่างเต็มที่ แต่ถ้าหากรัฐบาลจะต้องคอยแก้ปัญหาหรือโต้เถียงกับสมาชิกรัฐสภาที่ตั้งกระทู้หรือขอ

               เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจอยู่เสมอ ก็อาจท าให้รัฐบาลต้องใช้เวลาไปกับเรื่องดังกล่าวจนไม่มีเวลาในการปฏิบัติ
                                       15
               หน้าที่เพื่อดูแลประชาชนก็ได้

                        จากแนวคิดและทฤษฎีที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้น จะเห็นได้ว่าการวางระบบความสัมพันธ์ระหว่าง
               ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารนั้น วางอยู่บนพื้นฐานการสร้างสมดุลระหว่างการตรวจสอบไม่ให้ฝ่ายบริหารใช้
               อ านาจหรือบังคับใช้กฎหมายไปในทางที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน กับความมีเสถียรภาพและ

               ประสิทธิภาพของการบริหารราชการแผ่นดินของฝ่ายบริหาร ซึ่งแม้จะวางกลไกให้การตรวจสอบระหว่างฝ่าย
               บริหารและฝ่ายนิติบัญญัติมีความเข้มข้นที่มากขึ้นเนื่องจากเห็นว่าฝ่ายบริหารและเสียงข้างมากของฝ่ายนิติบัญญัติ

               ในระบบนี้เป็นพวกเดียวกันก็ตาม ก็ต้องระวังไม่ให้การตรวจสอบนั้นมีกลไกที่ซับซ้อนจนเกินไป จนท าให้
               ฝ่ายบริหารไม่สามารถท างานอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพได้
















               13  ชาติชาย ณ เชียงใหม่. เรื่องเดียวกัน หน้า 32
               14  ชาติชาย ณ เชียงใหม่. เรื่องเดียวกัน หน้า 32 (เน้นโดยผู้เขียนเอง)
               15  ชาติชาย ณ เชียงใหม่. เรื่องเดียวกัน หน้า 35



      19
   15   16   17   18   19   20   21   22   23   24   25