Page 16 - kpiebook66015
P. 16

ทุกสิ่งจะถึงแก่กำรอวสำน หำกบุคคลเดียวกันหรือคณะบุคคลที่เป็นหลักส ำคัญ ไม่ว่ำจะเป็นของคณ

               ธขุนนำงหรือประชำชน ได้ใช้อ ำนำจทั้งสำม อ ำนำจกำรออกกฎหมำย อ ำนำจน ำมติของประชำชนไปปฏิบัติ
               และอ ำนำจในกำรตัดสินคดีอำญำหรือกรณีพิพำทของเอกชน”
                                                                  5
                        ทั้งนี้ M.C.J.   Vile ในงานเขียนเรื่อง “Constitutionalism and the Separation of Powers”

               ได้กล่าวถึงการแบ่งแยกการใช้อ านาจในมุมของหลักการที่บริสุทธิ์ (Pure Doctrine) ว่าหลักการดังกล่าวได้ให้
               ความส าคัญกับการสร้างอิสระทางการเมือง (Political liberty) ว่าในการปกครองนั้น จะต้องแยกออกเป็นสาม

               อ านาจหรือสามส่วน คือ ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ และแต่ละส่วนนั้นจะต้องใช้อ านาจในการ
               ท าหน้าที่ของตนเอง และไม่สามารถก้าวล่วงการใช้อ านาจของอีกฝ่ายได้เลย นอกจากนี้ บุคคลที่ใช้อ านาจทั้งสาม

               นี้ จะต้องยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง ที่ส าคัญ ไม่มีใครสามารถด ารงต าแหน่งที่ใช้อ านาจดังกล่าวได้เกินหนึ่ง
                                                                                                     6
               ต าแหน่งในเวลาเดียวกัน และเมื่อเป็นเช่นนี้ แต่ละองค์กรก็จะท าหน้าที่ตรวจสอบและควบคุมซึ่งกันและกัน

                        จากที่กล่าวข้างต้น การปรับใช้หลักการแบ่งแยกการใช้อ านาจที่เคร่งครัดดังกล่าวได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์
               ว่ามีปัญหาในการปฏิบัติจริง เพราะถ้าหากมองในแง่ของการปฏิบัติแล้ว ถ้าหากแยกอ านาจทั้งสามส่วนออกจาก
               กันอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอ านาจนิติบัญญัติและอ านาจบริหาร ก็อาจท าให้เกิดปัญหาในการบริหาร

               ราชการแผ่นดินได้ ดังนั้น การปรับใช้หลักการแบ่งแยกการใช้อ านาจในลักษณะที่เป็นหลักการบริสุทธิ์ดังกล่าวจึง
               แทบเป็นไปไม่ได้เลย และยิ่งถ้าหากพิจารณาระบบรัฐสภาในประเทศอังกฤษ (Westminster Model) ซึ่ง

               ก าหนดให้ที่มาของฝ่ายบริหารมาจากเสียงข้างมากของฝ่ายนิติบัญญัติ และในบางกรณีผู้ด ารงต าแหน่งเป็น
               สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยังสามารถด ารงต าแหน่งเป็นรัฐมนตรีได้ด้วยนั้น ยิ่งเท่ากับขัดต่อหลักการแบ่งแยกการ
               ใช้อ านาจ หรือแม้แต่การปกครองในหลายประเทศที่ก าหนดให้ฝ่ายตุลาการ (รวมถึงอังกฤษด้วย) สามารถ

               ตรวจสอบการกระท าของฝ่ายบริหารในลักษณะที่เป็น การกระท าทางรัฐบาล ได้นั้น ก็ยิ่งจะท าให้เห็นได้อย่าง
                                                     7
               ชัดเจนว่าขัดต่อหลักการแบ่งแยกการใช้อ านาจ

                        อย่างไรก็ตาม ถ้าหากพิจารณาจากประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยทั้งหมด อาจกล่าวได้
               ว่ารูปแบบการปกครองของประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศฝรั่งเศสนั้น ยังคงรูปแบบของหลักการแบ่งแยก

               การใช้อ านาจที่ชัดเจนได้อยู่ (หรืออย่างน้อยที่สุดก็ชัดเจนกว่ารูปแบบของการแบ่งแยกการใช้อ านาจในประเทศ
               อังกฤษ) แต่ก็เป็นที่น่าสังเกตว่า การสร้างระบบการแบ่งแยกการใช้อ านาจที่ก าหนดให้ทุกองค์กรมีที่มาที่

               แตกต่างกันและไม่เกี่ยวข้องกันนั้น ก็จะท าให้เกิดการตรวจสอบถ่วงดุลที่ชัดเจนยิ่งขึ้น และท าให้แต่ละองค์กร
               สามารถท าหน้าที่ตรวจสอบได้เต็มที่ เช่น ในกรณีของสหรัฐอเมริกา อ านาจนิติบัญญัติของรัฐสภาอาจถูก

               ตรวจสอบได้ด้วยการคัดค้านร่างกฎหมายโดยประธานาธิบดี หรือการตรวจสอบของฝ่ายตุลาการว่ากฎหมาย
               นั้นขัดรัฐธรรมนูญ (แต่ไม่ได้เป็นการยกเลิกกฎหมาย) และการใช้อ านาจบริหารบางประการของประธานาธิบดี








               5  ชัยวัฒน์ วงศ์วัฒนศานต์, 2540, กฎมายวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง, กรุงเทพฯ : สื่อปัญญา หน้า 33 (ความในวงเล็บ
               เติมโดยผู้เขียนเอง)
               6  Roger Masterman, ibid, p. 11
               7  Roger Masterman, ibid, p. 12



      15
   11   12   13   14   15   16   17   18   19   20   21