Page 12 - kpiebook66015
P. 12

ทั้งนี้ ประเด็นเกี่ยวกับเรื่องการความมีเสถียรภาพของรัฐบาลได้กลายเป็นโจทย์ที่เป็นล าดับรองไปหลัง

               การเลือกตั้งใน พ.ศ. 2544 เมื่อทักษิณ ชินวัตร ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี และสามารถด ารงต าแหน่งได้จน
               ครบวาระ หากแต่ในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2548 พรรคไทยรักไทยซึ่งน าโดยทักษิณ ชินวัตร ก็ได้รับเลือกตั้งเป็นเสียง
               ข้างมากในรัฐสภาอีกครั้ง และส่งผลให้ทักษิณได้ด ารงต าแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกสมัยหนึ่ง อย่างไรก็ตาม การ

               เลือกตั้งครั้งนี้พรรคไทยรักไทยได้คะแนนเสียงเป็นจ านวนมาก และมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในรัฐสภามากขึ้น
               ขนาดท าให้พรรคฝ่ายค้านไม่สามารถลงมติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีได้เนื่องจากมีคะแนนเสียงไม่

               พอ (เว้นเสียแต่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคไทยรักไทยเองจะร่วมลงมติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วย ซึ่ง
               โอกาสที่จะเป็นเช่นนั้นมีน้อยมาก หรือแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย)  และเมื่อรัฐบาลทักษิณเองได้เลือกใช้มาตรการ

               บางอย่างที่ส่งผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน เช่น การตราพระราชก าหนดการบริหารราชการใน
               สถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 และมีการใช้มาตรการที่ค่อนข้างรุนแรงในการจัดการปัญหาสามจังหวัดชายแดน

               ภาคใต้ และการปราบปรามยาเสพติด เป็นต้น ท าให้เกิดค าถามต่อการใช้มาตรการดังกล่าว แต่พรรคฝ่ายค้านกลับ
               ท            า            ไ            ด้          เ            พี           ย            ง
               การตั้งกระทู้ถาม ไม่สามารถควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินด้วยกลไกอื่น ๆ ได้


                       การเกิดขึ้นของเหตุการณ์ดังกล่าวท าให้เกิดการกลับมาตั้งค าถามเกี่ยวกับการตรวจสอบถ่วงดุล
               จนมีการยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ซึ่งเห็นได้ชัดว่าโจทย์ส าหรับการยกร่าง

               รัฐธรรมนูญดังกล่าวนั้นได้เปลี่ยนจากความพยายามในการสร้างความเสถียรภาพของรัฐบาล มาเป็นการ
               พยายามสร้างระบบการตรวจสอบถ่วงดุลที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้น เช่น การยกเลิกการบัญญัติให้รัฐมนตรีจะต้องไม่

               เป็นสมาชิกรัฐสภา เป็นต้น และโจทย์ส าคัญดังกล่าวก็ยังคงเป็นโจทย์ที่ต่อเนื่องมาจนมีการยกร่างรัฐธรรมนูญ
               แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 แต่การสร้างระบบการตรวจสอบของฝ่ายบริหาร โดยเน้นไปที่
               ตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายโดยสถาบันตุลาการ ท าให้เกิดค าถามและการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการท า

               ให้เรื่องการเมืองกลายเป็นเรื่องทางกฎหมาย และเกิดแนวคิดที่ต้องการให้ความส าคัญในการตรวจสอบเรื่องที่มี
               ลักษณะทางการเมือง เป็นการตรวจสอบทางการเมือง ซึ่งก็คือการใช้กลไกการควบคุมการบริหารราชการ

               แผ่นดินโดยรัฐสภา ด้วยเหตุนี้ ค าถามเกี่ยวกับการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินโดยรัฐสภาซึ่งมีเสียงข้าง
               มากเป็นพวกเดียวกับฝ่ายบริหารจึงกลายเป็นประเด็นค าถามที่ส าคัญต่อการพัฒนาระบบรัฐสภาของประเทศ

               ไทย

                       บทที่ 4 : จะเป็นการชี้ให้เห็นถึงกรณีศึกษาต่างประเทศที่ก าหนดเกี่ยวกับการตรวจสอบถ่วงดุลฝ่าย
               บริหารโดยใช้กลไกของระบบรัฐสภา แต่จะต้องท าความเข้าใจเสียก่อนว่า การวางระบบการตรวจสอบถ่วงดุล

               ฝ่ายบริหารโดยรัฐสภาให้ถึงขนาดว่าพรรคฝ่ายค้านเองซึ่งเป็นเสียงข้างน้อยในรัฐสภาสามารถยับยั้งหรือล้มล้าง
               การก าหนดนโยบาย หรือการด าเนินนโยบายของฝ่ายบริหารนั้น ถือเป็นเรื่องที่ “ผิดธรรมชาติ” ของการ

               ปกครองในระบอบประชาธิปไตย เนื่องจาก เมื่อมีการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่ละพรรค
               การเมืองย่อมแสดงนโยบายในการหาเสียงของตนประหนึ่งค าสัญญากับประชาชนว่าถ้าหากพรรคของตนได้รับ

               เลือกตั้งแล้วนั้น จะท าอย่างไร และการได้รับเสียงข้างมากในรัฐสภา ก็เท่ากับว่าประชาชนพอใจและต้องการให้
               มีการด าเนินนโยบายเช่นนั้น หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ พรรคการเมืองที่ได้รับเสียงข้างมากนั้น สะท้อนความ

               ต้องการของประชาชน และเมื่อสภาผู้แทนราษฎรได้เลือกประมุขของฝ่ายบริหารแล้ว ประมุขของฝ่ายบริหาร
               (ซึ่งมักจะมาจากพรรคการเมืองเดียวกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเสียงข้างมากในรัฐสภา) ก็ย่อมผูกพันจะต้อง



      11
   7   8   9   10   11   12   13   14   15   16   17