Page 191 - kpiebook65043
P. 191
สรุปการประชุมวิชาการ
สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 23 191
ประชาธิปไตยในภูมิทัศน์ใหม่
โดยจรัญได้ชี้ให้เห็นว่าใน ค.ศ. 1802 นั้น สหรัฐอเมริกาได้เกิดการวินิจฉัยว่ากฎหมาย
ขัดรัฐธรรมนูญของศาลสูงสหรัฐในคดี Marbury V. Madison ขึ้น ซึ่งในกรณีดังกล่าวนั้น
ศาลสูงสหรัฐได้ตีความกฎหมายที่ตราโดยฝ่ายนิติบัญญัติซึ่งเป็นกฎหมายที่ศาลจะต้องนำมาใช้
บังคับแก่คดีที่วินิจฉัยอยู่นั้นว่า กฎหมายดังกล่าวมีเนื้อหาที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ
และไม่สามารถนำมาบังคับใช้กับคดีนั้นได้ ซึ่งในขณะนั้นก็มีฝ่ายการเมืองโต้แย้งเช่นกันว่า
การที่ศาลสูงมาวินิจฉัยไม่ใช้บังคับกฎหมายที่ฝ่ายนิติบัญญัติตราขึ้นเช่นนี้ เท่ากับศาลกำลังใช้
อำนาจของฝ่ายตุลาการก้าวล่วงอำนาจในการตรากฎหมายของฝ่ายนิติบัญญัติ อย่างไรก็ตาม
ในประเด็นนี้ ศาลสูงสหรัฐได้ให้เหตุผลในการเข้าไปตีความกฎหมายลักษณะดังกล่าวว่า
ศาลเป็นองค์กรที่มีหน้าที่นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายมาใช้บังคับกับคดี ดังนั้น ศาลจำเป็นที่จะ
ต้องตีความกฎหมายที่กำลังจะนำมาบังคับใช้นั้น และเมื่อศาลเห็นว่ากฎหมายที่ฝ่ายนิติบัญญัติ
ตราขึ้นมีข้อความที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญซึ่งถือเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่มีลำดับ
ศักดิ์สูงที่สุด (รวมถึงสูงกว่ากฎหมายที่ตราโดยรัฐสภา) ศาลจะนำกฎหมายดังกล่าวมาบังคับ
ใช้ได้อย่างไร และถ้าหากศาลยังคงบังคับใช้กฎหมายที่ขัดรัฐธรรมนูญนั้นอยู่ ก็เท่ากับว่า
ศาลตัดสินคดีขัดรัฐธรรมนูญเสียเอง ด้วยเหตุนี้ จึงเท่ากับศาลสูงสหรัฐได้วางหลักการ
ให้ฝ่ายตุลาการมีอำนาจวินิจฉัยกฎหมายขัดรัฐธรรมนูญขึ้นเป็นครั้งแรกในคดีดังกล่าว
หลังจากนั้น ก็ได้เกิดคำถามต่อ ๆ มาในทำนองที่เห็นพ้องกับแนวทางการตัดสินคดี
ดังกล่าวของศาลสูงสหรัฐว่า ถ้าไม่ใช่ฝ่ายตุลาการแล้ว จะมีองค์กรอื่นใดอีกที่เหมาะสม
ในการชี้ว่ากฎหมายขัดรัฐธรรมนูญ เพราะถ้าหากให้รัฐสภาเป็นองค์กรที่มีอำนาจเด็ดขาด
ในการวินิจฉัยกฎหมายขัดรัฐธรรมนูญแต่เพียงองค์กรเดียว ก็เป็นไปได้ยากอย่างยิ่งที่รัฐสภา
จะกล้าวินิจฉัยว่ากฎหมายที่ตนเองตราขึ้นนั้นขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ หรือถ้าหากจะให้
ฝ่ายบริหารเป็นผู้มีอำนาจวินิจฉัยดังกล่าว ก็เป็นที่น่าสงสัยอยู่นั่นเองว่า ในระบบรัฐสภา
ซึ่งฝ่ายบริหารมาจากเสียงข้างมากในรัฐสภา หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เป็น “พวกเดียวกัน”
กับเสียงข้างมากในรัฐสภาแล้ว ฝ่ายบริหารจะยังคงวินิจฉัยได้หรือไม่ว่ากฎหมายที่รัฐสภาตราขึ้น
นั้นขัดรัฐธรรมนูญ
นอกจากนี้ กล้ายังได้กล่าวถึงในส่วนของการพัฒนาการของแนวความคิดดังกล่าว
ในภาคพื้นยุโรปว่า เริ่มมีนักกฎหมายอย่าง Hans Kelsen ซึ่งเป็นนักกฎหมายชาวออสเตรีย
ได้พัฒนาแนวความคิดดังกล่าวต่อมา นั่นคือ ในกรณีของศาลสูงสหรัฐนั้น แม้ว่าศาลจะวินิจฉัย
ไม่นำกฎหมายมาใช้บังคับแก่คดีใดเนื่องจากกฎหมายขัดรัฐธรรมนูญก็ตาม แต่บทบัญญัติแห่ง
กฎหมายดังกล่าวก็ไม่ได้ถูกยกเลิกไป เนื่องจากยังถือหลักที่ว่า ฝ่ายนิติบัญญัติจะต้องเป็น
ผู้ยกเลิกกฎหมายดังกล่าวนั้นเสียเอง และต่อมา Kelsen จึงได้นำเสนอแนวคิดที่ว่า
ควรมีองค์กรอีกองค์กรหนึ่ง ทำหน้าที่วินิจฉัยกฎหมายขัดรัฐธรรมนูญ และเมื่อวินิจฉัยว่า
กฎหมายใดขัดรัฐธรรมนูญแล้วนั้น ก็จะต้องทำให้บทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้นสิ้นผลไป สรุปการประชุมกลุ่มย่อยที่ 3
ซึ่งเรียกว่าเป็นการใช้ “อำนาจนิติบัญญัติในทางลบ”