Page 62 - kpiebook64015
P. 62

เพื่อลงสมัครแข่งขันทางการเมือง ย่อมนำไปสู่ข้อสงสัยว่า พรรคการเมืองนั้นจะเอาเงินที่ไหนมาใช้คืนเจ้าหนี้โดยไม่

              เกิดกรณีผลประโยชน์ทับซ้อนขึ้น (conflict of interest)
                     แต่กระนั้น  ความเสียหายที่เกิดขึ้น จากการเปลี่ยนจากนักการเมืองที่เป็นปัจเจกบุคคลมาเป็นพรรค

              การเมืองทั้งพรรค อาจจะไม่ลงเอยด้วยผลลัพธ์ที่เท่ากัน  หลัก mutatis mutandis  อาจจะไม่ถูกต้องนัก  เพราะ

              หากพรรคการเมืองที่ประกอบด้วยผู้สมัครหรือ ส.ส. จำนวนมากกว่าหนึ่งคนขึ้นไป การใช้อำนาจหน้าที่ไปในทางมิ
              ชอบและขัดต่อผลประโยชน์สาธารณะแต่เอื้อประโยชน์เพื่อเป็นการตอบแทนแก่เจ้าหนี้หรือถอนทุนคืนย่อมจะมี

              ขอบเขตที่กว้างขวางกว่าปัจเจกบุคคลอย่างแน่นอน เพราะการกู้ยืมเงินเพื่อการรณรงค์หาเสียงสำหรับผู้สมัครที่เกิน

              หนึ่งคนย่อมมากกว่างบหาเสียงของคนๆเดียว และยิ่งถ้าเป็นผู้สมัครทั้งพรรค หากพรรคส่งผู้สมัครเป็นจำนวนมาก
              หรือลงทุกเขต 350 เขตอย่างในกรณีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งล่าสุดของไทย ก็ย่อมต้องกู้ยืมเงินในจำนวนมหาศาล

              มากมายกว่ากู้เพื่อชิงชัยในเขตเลือกตั้งเดียว
                     หากในกรณีของนักการเมือง/ ส.ส. หนึ่งคนที่เป็นลูกหนี้ย่อมขาดความเป็นอิสระ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หาก

              เขากู้ยืมโดยได้รับไมตรีจิตจากเจ้าหนี้ที่คิดอัตราดอกเบี้ยต่ำมากหรือไม่คิดเลย  และแน่นอนว่า หากพรรคการเมือง

              เป็นลูกหนี้ในลักษณะเดียวกัน ก็หมายความว่า ส.ส. จำนวนมากกว่าหนึ่งคนจนถึงเป็นจำนวนแปดสิบหรือร้อยคน
              ย่อมสุ่มเสี่ยงต่อการขาดความเป็นอิสระ หรือหากไม่ขาดในทางปฏิบัติ แต่ก็ขาดหรือเป็นที่สงสัยเคลือบแคลงใน

              สายตาสาธารณะอยู่ดี
                     แต่ที่กล่าวไปแล้วนั้น ไม่ว่าจะเป็นกรณีนักการเมืองที่เป็นปัจเจกบุคคลหรือเป็นกรณีที่พรรคการเมืองกู้เงิน

              จากแหล่งทุนนอกพรรค นักการเมืองหรือพรรคย่อมขาดความเป็นอิสระและอาจตกอยู่ภายใต้การครอบงำจากเจ้าหนี้

              ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกพรรค แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นการกู้ยืม “หัวหน้าพรรค” นั่นคือ นักการเมืองที่เป็นปัจเจกบุคคลหรือ
              พรรคการเมืองกู้ยืมเงินหัวหน้าพรรคในนามของพรรคการเมือง  จะเกิดอะไรขึ้น ?

                     แน่นอนว่า ในกรณีของนักการเมืองที่เป็นปัจเจกบุคคลย่อมขาดความเป็นอิสระและอาจตกอยู่ภายใต้การ

              ครอบงำจากเจ้าหนี้ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรค  และพรรคการเมืองทั้งพรรคย่อมขาดความเป็นอิสระและอาจตกอยู่ภายใต้
              การครอบงำจากเจ้าหนี้ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคอย่างยากที่จะปฏิเสธได้ และสภาพการณ์ดังกล่าวนี้ย่อมขัดต่อหลักความ

              เป็นอิสระและการเป็นตัวแทนของประชาชนที่มีหน้าที่พิทักษ์ปกป้องผลประโยชน์ของสาธารณะหรือของประชาชน

              หรือของชาติ แล้วแต่จะเรียก และยากที่นักการเมืองผู้นั้นจะเป็นคนของประชาชน หรือพรรคจะเป็นพรรคของ
              ประชาชน แต่กลับกลายว่านักการเมืองผู้นั้นเป็นคนของหัวหน้าพรรค และพรรคก็เป็นของหัวหน้าพรรค และพรรคก็

              จะกลายพรรคส่วนตัว (personal party) ไปแทนที่จะเป็นพรรคของสมาชิกพรรคทุกคนและรวมทั้งประชาชน
                      แม้ว่าอาจจะเป็นไปได้ว่า หัวหน้าพรรคที่เป็นเจ้าหนี้ไม่ต้องการที่ให้เกิดการที่อำนาจและอิทธิพลต่างๆใน

              พรรคถูกรวมศูนย์ไว้ที่ตน (centralization)  แต่เงื่อนไขภายใต้ความสัมพันธ์ของความเป็นเจ้าหนี้-ลูกหนี้ก็ดูจะเอื้อไป
              ในทางการรวมศูนย์มากกว่าจะส่งเสริมความเป็นอิสระและความเสมอภาคของสมาชิกพรรค













                                                            62
   57   58   59   60   61   62   63   64   65   66   67