Page 43 - kpiebook64011
P. 43
พิจารณาการเมืองในมิติของการเลือกตั้ง (electoral politics) และสนใจเรื่องความเปลี่ยนแปลงในระบบ
อุปถัมภ์ ขณะที่แนวทางการศึกษาวัฒนธรรมระบบอุปถัมภ์ที่ได้กล่าวไปแล้วมีข้อจ ากัดในเรื่องนี้
การศึกษาการเลือกตั้งในท้องถิ่นในยุคปัจจุบันจะไม่ได้ให้ความส าคัญกับแนวคิดเรื่องความสัมพันธ์ของ
ระบบอุปถัมภ์ในแบบเดิม ที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า patron-client relations แต่จะใช้ค าว่า clientelism
แทน ซึ่งมีนัยยะว่า การศึกษาระบบอุปถัมภ์นี้อาจไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นหรือตกทอดมาจากอดีตเท่านั้น แต่อาจจะ
ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ได้ และงานของเวียงรัฐ เนติโพธิ์ ใน Viengrat Nethipo (2019) ชี้ให้เห็นจุดเปลี่ยนที่ส าคัญ
ในการเมืองของระบบอุปถัมภ์ในการเลือกตั้งร่วมสมัย โดยชี้ให้เห็นถึงจุดเปลี่ยนที่ส าคัญที่การเคลื่อนไหวในการ
กระจายอ านาจอันเป็นผลมาจากรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน/การปฏิรูปการเมืองเมื่อปี พ.ศ. 2540
งานของเวียงรัฐ เนติโพธิ์ ใน Viengrat Nethipo (2019) ได้ชี้ให้เห็นความเปลี่ยนแปลงส าคัญของ
ระบบอุปถัมภ์ในการเมืองไทย โดยชี้ว่า แม้รัฐไทยจะมีลักษณะที่รวมศูนย์อ านาจ มีระบบราชการเป็นฐานก าลัง
ส าคัญ และมีอุดมการณ์น าบางอย่างที่ใช้ควบคุมสังคมไทย (hegemonic ideology) แต่ในระดับท้องถิ่นนั้น รัฐ
รวมศูนย์ (ส่วนกลาง) ของไทยจะสามารถปกครองและขยายอ านาจได้ก็จะต้องกระท าผ่านความร่วมมือกับผู้มี
อิทธิพลในท้องถิ่น (เวียงรัฐ เนติโพธิ์ อ้างถึงงานของ ทามาดะ, 2539)
จากการศึกษาของเวียงรัฐ เนติโพธิ์ ใน Viengrat Nethipo (2019) ชี้ให้เห็นว่า การศึกษาเรื่องของ
การเมืองของระบบอุปถัมภ์ในการเลือกตั้งสามารถอธิบายออกเป็นสองยุคสมัยโดยมีจุดแบ่งส าคัญอยู่ที่การ
ปฏิรูปการเมือง พ.ศ. 2540 ซึ่งเป็นจุดตั้งต้นส าคัญของการกระจายอ านาจที่เป็นรูปธรรม โดยก่อน พ.ศ. 2540
นั้น การศึกษาเรื่อง “เจ้าพ่อ” ในการเมืองท้องถิ่นไทยถือเป็นเรื่องของการศึกษาการเมืองระบบอุปถัมภ์
(clientelistic politics of chao pho) รูปแบบหลัก โดยเฉพาะในยุค 2520 ถึงก่อนปฏิรูปการเมือง 2540 โดย
บรรดาเจ้าพ่อนี้สร้างความมั่งคั่งจากธุรกิจที่ผูกขาดสัมปทานของรัฐ หรือเกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย ซึ่ง
จะต้องพึ่งพาการมีเครือข่ายกับข้าราชการชั้นสูง และอีกด้านหนึ่งจากการสร้างความมั่งคั่งก็คือเรื่องของการ
สร้างสถานะที่เหนือกว่าคนอื่นในการเมืองท้องถิ่นผ่านระบบอุปถัมภ์ ท าให้เขาสามารถสั่งการหรือระดม
ประชาชนในท้องถิ่นได้มีประสิทธิผลกว่าข้าราชการในพื้นที่ เวียงรัฐ เนติโพธิ์ ยังระบุว่า โดยทั่วไปแล้วเจ้าพ่อจะ
ใช้เครือข่ายความสัมพันธ์กับข้าราชการเพื่อสร้างผลประโยชน์ให้กับธุรกิจของตนเอง และก็จะแบ่งปัน
ผลประโยชน์เหล่านี้กับข้าราชการในลักษณะที่สมประโยชน์กัน
ในอีกด้านหนึ่ง เจ้าพ่อยังขยายเครือข่ายการเป็นผู้อุปถัมภ์โดยการกระจายความมั่งคั่งไปยังชุมชนใน
เขตอิทธิพลของเขา และน าเสนอผลประโยชน์ที่จับต้องได้ รวมไปความช่วยเหลือในรูปแบบของการปกป้อง
คุ้มครองประชาชนของเขาจากการใช้อ านาจอันมิชอบของข้าราชการในท้องถิ่น บทบาทของเจ้าพ่อในฐานะผู้
อุปถัมภ์นี้จึงท าให้เขามีอ านาจในการระดมประชาชน และจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะน าไปสู่การที่เขาจะมี
บทบาทในการรณรงค์การเลือกตั้ง ซึ่งในบริบทนี้ก็อาจจะมีบางครั้งที่มีการใช้ความรุนแรงในการจัดการกับข้อ
พิพาทที่เกิดขึ้น (Viengrat Nethipo, 2019) การศึกษาเรื่องเจ้าพ่อกับการเมืองท้องถิ่นก่อนปี 2540 มีฉันทามติ
ร่วมกันว่า การเมืองที่มีฐานจากการเลือกตั้งเป็นปัจจัยส าคัญที่เสริมสร้างอ านาจให้กับเจ้าพ่อ และเปิดโอกาสให้
เจ้าพ่อมีบทบาทส าคัญในการเมืองในระดับจังหวัด ขณะเดียวกันปัจจัยส าคัญที่ท าให้เจ้าพ่อมีอ านาจในการเมือง
ท้องถิ่นนั้นก็คือความไร้ประสิทธิภาพของระบบราชการที่รวมศูนย์อ านาจของรัฐ ซึ่งสะท้อนออกมาจากการที่รัฐ
ไม่สามารถที่จะจัดหาบริการให้กับประชาชนในท้องถิ่น และความไร้สมรรถภาพและประสิทธิภาพของ
ข้าราชการเอง และยิ่งท าให้เจ้าพ่อมีบทบาทส าคัญในการรักษาอ านาจในพื้นที่ (เวียงรัฐ เนติโพธิ์, 2546) และที่
โครงการศึกษาการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น ปี 2563: การเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ 25