Page 44 - kpiebook63031
P. 44
43
การรวมกลุ่มของชาวไร่ชาวนา และกรรมกรในรูปสมาคม หรือสหพันธ์ แสดงให้เห็นจิตสำานึก
ของการรวมตัวกันทางชนชั้น ผลของการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมได้ให้กำาเนิดชนชั้นล่างและชนชั้น
กลางที่เด่นชัดยิ่งขึ้น งานวิจัยกลุ่มชนชั้นต่างๆ จึงเป็นที่สนใจของนักวิชาการด้านสังคมศาสตร์มากขึ้น
เช่นเดียวกัน นอกจากนี้ เรื่องใกล้ตัวที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำาวันของคนไทยโดยตลอด ทั้งคำาว่า “เจ้าพ่อ”
“เจ้านาย-ลูกน้อง” “ลูกพี่-ลูกน้อง” “ผู้มีอิทธิพล” “หัวคะแนน” “การซื้อเสียง” ที่เราให้เรียกบุคคลบางคน
หรือบางกลุ่ม ก็เป็นคำาที่มีความหมายเกี่ยวข้องกับลักษณะของความสัมพันธ์แบบ “ผู้อุปถัมภ์-ผู้รับอุปถัมภ์”
โดยตรงและโดยอ้อมแทบทั้งสิ้นซึ่งเกี่ยวข้องกับประเด็นการศึกษาในครั้งนี้ (อมรา พงศาพิชญ์ และ
ปรีชา คุวินทร์พันธุ์, 2545, น. 1-7)
ความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์(Patron-Client Relationship) เป็นรากฐานสำาคัญของการจัดองค์การ
ของสังคมไทย(Social Organization) มาแต่โบราณ ระบบศักดินาหรือระบบไพร่เป็นระบบที่กำาหนด
ความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ระหว่างไพร่กับมูลนาย มูลนายไม่เพียงแต่จะต้องการความสวามิภักดิ์จากไพร่
เท่านั้น หากยังหาผลประโยชน์ด้วยการดูดซับส่วนเกินทางเศรษฐกิจ(Economic Surplus)จากไพร่อีกด้วย
ในขณะเดียวกันมูลนายก็ให้การอุปถัมภ์ทางการเมือง(Political Patronage) และการอุปถัมภ์ทางเศรษฐกิจ
แก่ไพร่เป็นการตอบแทน ความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ดังกล่าวนี้ยังคงสืบทอดต่อมา เพียงแต่มีการเปลี่ยนแปลง
รูปแบบเท่านั้น (รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์, 2546, น. 97-98) โดยแบบแผนของความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์
จะแตกต่างไปตามระบอบการเมืองการปกครอง ในช่วงที่ระบบการเมืองการปกครองมีลักษณะเผด็จการ/
คณาธิปไตย ความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ที่สำาคัญที่สุดก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำาทางการเมืองกับ
ฐานกำาลังทางทหาร (ประเทือง ม่วงอ่อน, 2547, น. 141)
ชัยอนันต์ สมุทวนิช (2523, น. 14-15) เห็นว่า ความสัมพันธ์ในระบบอุปถัมภ์เกิดขึ้นเพราะ
ในสังคมมีความแตกต่างกันอย่างมากมาย ทั้งทางด้านสถานภาพทางสังคม ความมั่งคั่ง และอำานาจ เน้น
ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เป็นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล 2 คน ซึ่งบุคคล 2 คนนี้ ต่างช่วยเหลือเกื้อกูล
ซึ่งกันและกัน โดยบุคคลแต่ละคนในสังคมมีอิสระที่จะเลือกลูกน้องและยังมีอิสระในการกำาหนดจำานวน
บุคคลที่เขาจะมีความสัมพันธ์ด้วย มีอิสระในการเลือกว่า เมื่อใดจะสิ้นสุดความสัมพันธ์ ซึ่งในที่นี้จะเรียกว่า
ความสัมพันธ์แบบผู้อุปถัมภ์กับลูกน้อง และมีลักษณะพิเศษ ดังนี้
1. มีการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินร่วมกัน โดยแต่ละคนต่างช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
2. เนื่องจากลักษณะของการมีปฏิสัมพันธ์ของแต่ละคู่สัมพันธ์แตกต่างกัน จึงมีการให้ประโยชน์
เป็นพิเศษต่อบางคนมากกว่าคนอื่นๆ
3. ความสัมพันธ์เช่นนี้ มีลักษณะเปราะบาง เพราะขึ้นอยู่กับตัวบุคคลมากกว่าหลักการ ดังนั้น
การจะรักษาเสถียรภาพของความสัมพันธ์ไว้ได้ จะต้องมีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ต่อกัน
อย่างต่อเนื่อง บุคคลแต่ละคนต่างมีของที่อีกฝ่ายหนึ่งไม่มีและของที่ทั้งสองฝ่ายต่างมีนั้น
เป็นสิ่งที่อีกฝ่ายหนึ่งต้องการ