Page 44 - kpiebook63028
P. 44

43






                          อวิกา เอกทัตร (2549) ได้ศึกษาเรื่อง การเลือกตั้งในระดับท้องถิ่น เรื่อง การซื้อสิทธิขายเสียงของ

                  พรรคการเมืองท้องถิ่น: กรณีศึกษาเทศบาลตำาบลหนึ่งในเขตภาคตะวันออก ผู้วิจัยได้ใช้การสัมภาษณ์อย่างเจาะลึก
                  พบว่า พฤติกรรมการซื้อสิทธิขายเสียงแบ่งเป็น 5 รูปแบบ คือ รูปแบบการซื้อหัวคะแนน รูปแบบซื้อสมาชิก

                  ฝ่ายตรงข้าม  รูปแบบการตัดผู้สมัครฝ่ายตรงข้าม และการสร้างผู้สมัครเทียม รูปแบบในการจัดงานเลี้ยง รูป
                  แบบในการซื้อตำาแหน่งภายในพรรค ผู้วิจัยพบว่า ระบบอุปถัมภ์ทางการเมืองแบบเครือญาติลดบทบาทลง

                  เนื่องจากความเป็นเมืองและระบบเศรษฐกิจแบบเงินตราเข้ามาในชุมชนมากขึ้น ทำาให้เกิดระบบอุปถัมภ์ทาง
                  เศรษฐกิจแบบนายกับลูกจ้างโดยมีเงินตราและผลตอบแทนในทางเศรษฐกิจในระบบงบประมาณท้องถิ่นเข้ามา

                  มีบทบาทสำาคัญ

                          สุวัตร์ ตั้งจิตรเจริญ (2548) ได้ศึกษาเรื่อง การตัดสินใจเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

                  ในระหว่างการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง: จังหวัดระยอง โดยศึกษาพฤติกรรมการเลือกตั้งทั่วไปในปี พ.ศ. 2548
                  ของกลุ่มตัวอย่างผู้มีสิทธิเลือกตั้งในจังหวัดระยอง พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีพฤติกรรมการเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อ

                  โดยเลือกพรรคไทยรักไทยมาเป็นอันดับแรก เนื่องจากความพอใจในนโยบายของพรรคไทยรักไทย โดยเฉพาะ
                  นโยบายการปราบปรามยาเสพติด รองลงมา คือ โครงการประกันสุขภาพ และการปราบผู้มีอิทธิพล รูปแบบ

                  การทุจริตการเลือกตั้งที่กลุ่มตัวอย่างพบมากที่สุด คือ การแจกเงินซื้อเสียง การแจกของ และกึ่งหนึ่งของ
                  กลุ่มตัวอย่างไม่มั่นใจในการวางตัวเป็นกลางของคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำาจังหวัด  โดยกลุ่มตัวอย่าง

                  เกินกว่ากึ่งหนึ่งเชื่อว่า คณะกรรมการการเลือกตั้งประจำาจังหวัดเข้าข้างผู้สมัครที่มาจากฝ่ายรัฐบาล รวมถึง
                  ไม่แน่ใจในกระบวนการให้ใบแดงใบเหลือง

                          นาตาชา วศินดิลก (2540) ได้ศึกษาเรื่อง โครงสร้างอำานาจในชุมชนกับการเมืองท้องถิ่น: ศึกษา

                  กรณีเมืองพัทยา งานวิจัยชิ้นนี้ถือเป็นงานวิจัยที่ศึกษาระบบอุปถัมภ์หลักในจังหวัดชลบุรี ซึ่งมีผลต่อการ
                  เลือกตั้งในเมืองพัทยา ผู้วิจัยได้สัมภาษณ์เชิงลึกผู้ที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายบ้านใหญ่ วิเคราะห์ระบบการทำางาน

                  ของเครือข่ายบ้านใหญ่ได้อย่างชัดเจน ข้อสรุปที่ได้จากการวิจัย คือ เมืองพัทยามีการกระจุกตัวของอำานาจ
                  ในทางการเมือง กลุ่มสมาชิกสภาเมืองพัทยาประเภทที่หนึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่อยู่ในเครือข่ายของบ้านใหญ่ โดย

                  มีความสัมพันธ์ในเชิงอุปถัมภ์ โครงสร้างอำานาจเป็นในรูปองค์กรที่มีวัตถุประสงค์ โครงสร้าง การแบ่งหน้าที่ การ
                  ตอบแทนที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม มีกติกาภายในกลุ่มที่อยู่ภายใต้ภาวะผู้นำาของหัวหน้ากลุ่มบ้านใหญ่ การตอบแทน

                  ทางการเมืองเป็นไปในรูปแบบของระบบงบประมาณของรัฐบาลท้องถิ่น ที่เห็นได้ชัดเจน คือ การก่อสร้างต่าง ๆ
                  เช่น ถนน บ่อบำาบัดนำ้าเสีย แนวการวิเคราะห์ของนาตาชา สามารถนำามาประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์การเลือกตั้ง

                  ในระดับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เป็นอย่างดี

                          เพ่ง บัวหอม (2548) ได้ศึกษาเรื่อง โครงสร้างอำานาจชุมชนกับการเลือกตั้งนายกองค์การบริหาร
                  ส่วนตำาบลโดยตรง: กรณีศึกษาองค์การบริหารส่วนตำาบลสัตหีบ อำาเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี พบว่า โครงสร้าง

                  อำานาจชุมชนที่มีแต่เดิมความสัมพันธ์ในเชิงเครือญาติได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นความสัมพันธ์ในเชิงเศรษฐกิจ

                  โครงสร้างอำานาจที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นไปตามการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่เป็นสังคมอุตสาหกรรม
                  เมื่อมีการกระจายอำานาจไปสู่องค์การบริหารส่วนตำาบล การเลือกตั้งโดยตรงนายกองค์การบริหารส่วนตำาบล
                  ผู้สมัครที่อาศัยความสัมพันธ์ในเชิงเครือญาติเสียเปรียบผู้สมัครที่ใช้เงินในการเลือกตั้ง และนำาไปสู่ระบบ

                  สองปีซ่อมทุน สองปีสร้างทุน
   39   40   41   42   43   44   45   46   47   48   49