Page 15 - kpiebook63023
P. 15
15
• ประชาธิปไตยแบบตรวจสอบสะท้อนความไม่ไว้วางใจการเลือกตั้งของประชาชน และไม่ไว้วางใจ
นักการเมือง จึงเพิ่มกลไกการตรวจสอบถ่วงดุล
• ประเทศไทยมีการใช้ประชาธิปไตยรูปแบบนี้ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 เป็นต้นมาโดยกำาหนดให้
มีองค์กรอิสระหลายองค์กรขึ้นมาทำาหน้าที่ตรวจสอบ เช่น คณะกรรมการเลือกตั้ง คณะกรรมการ
ศาลรัฐธรรมนูญ และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน เป็นต้น ซึ่งคณะกรรมการเหล่านี้มักเป็น
ผู้ทรงคุณวุฒิที่มาจากการสรรหาไม่ใช่การเลือกตั้ง
3) ประชาธิปไตยแบบมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (Constitutional Monarchy Democracy)
• เป็นการปกครองแบบประชาธิปไตยที่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นเพียงประมุขแห่งรัฐ ไม่มีหน้าที่
ในการบริหารบ้านเมืองแบบประเทศ ไม่มีอำานาจการออกนโยบายสาธารณะ ทั้งยังถูกจำากัดอำานาจ
ภายใต้รัฐธรรมนูญอันถือเป็นกฎหมายสูงสุดที่ใช้ในการปกครองประเทศ ประชาชนยังคงมีสิทธิ
ที่จะเลือกผู้แทนหรือนายกรัฐมนตรีเพื่อเข้ามาบริหารประเทศอยู่ ฐานะของพระมหากษัตริย์
ในระบอบนี้ต่อรัฐบาลเป็นเพียงผู้แสวงหาคำาปรึกษา ประทานคำาปรึกษา และประธานคำาตักเตือน
เป็นสิทธิของรัฐบาลภายใต้รัฐสภาที่มาจากการเลือกตั้งว่าจะดำาเนินการตามคำาแนะนำาของกษัตริย์
หรือไม่ ประเทศที่ใช้การปกครองในระบอบนี้ เช่น สหราชอาณาจักร สเปน เนเธอร์แลนด์ เบลเยี่ยม
ประเทศแถบสแกนดิเนเวียร์ ญี่ปุ่น ไทย และประเทศล่าสุดที่เพิ่งเปลี่ยนจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์
มาเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขคือ ภูฏาน ในปี ค.ศ. 2013
• สำาหรับประเทศไทย กฎหมายรัฐธรรมนูญได้บัญญัติอำานาจบางประการของพระมหากษัตริย์
ที่สามารถทำาได้ เช่น ทรงใช้อำานาจผ่านนิติบัญญัติ คือ ในขั้นสุดท้ายของการออกกฎหมายใด ๆ
ก็ตาม รัฐสภาจะทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้เป็นกฎหมาย หากมิเช่นนั้น
จะถือเป็นกฎหมายที่บังคับใช้มิได้ ทรงใช้อำานาจบริหารผ่านทางคณะรัฐมนตรี หมายความว่า
การบริหารราชการแผ่นดินของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีนั้นกระทำาในพระปรมาภิไธยของ
พระมหากษัตริย์ และเป็นความรับผิดชอบของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีในฐานะที่จะต้อง
กราบบังคมทูลและลงนามรับสนองพระบรมราชโองการในการบริหารราชการแผ่นดิน และทรงใช้
อำานาจตุลาการผ่านทางศาล หมายถึง กฎหมายรัฐธรรมนูญและกฎหมายรองตามลำาดับถูกตราและ
ลงพระปรมาภิไธยโดยพระมหากษัตริย์ ดังนั้นผู้พิพากษาและตุลาการศาลจึงมีหน้าที่พิพากษาคดี
ความต่าง ๆ ให้เป็นไปตามกฎหมายนั้น นอกจากนี้ยังทรงไว้ซึ่งพระราชอำานาจในการแต่งตั้งและ
การพ้นจากตำาแหน่งของผู้พิพากษาและตุลาการ โดยก่อนเข้ารับหน้าที่ผู้พิพากษาและตุลาการ
จะต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์อันถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติด้วย อีกทั้งยังบัญญัติ
พระราชอำานาจอื่น ๆ ไว้ด้วย เช่น การทำาสัญญาสันติภาพ สัญญาสงบศึก สนธิสัญญาอื่น ๆ
กับนานาประเทศ การพระราชทานอภัยโทษ เป็นต้น ทั้งนี้ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา