Page 37 - kpiebook63013
P. 37

37








                  ความโปร่งใส (transparency) ตรวจสอบได้ (accountability) การจะทำาให้ประชาธิปไตยตั้งมั่นได้จึงต้องมี

                  การปกครองที่อยู่ภายใต้กฎหมาย มีรัฐที่ถูกควบคุมจำากัดอำานาจ ยิ่งสถาบันที่ตรวจสอบถ่วงดุลกับรัฐเหล่านี้
                  ทำางานได้ดีเท่าไหร่ ยิ่งมีประชาธิปไตยที่มีคุณภาพ ซึ่งพูดอีกอย่างได้ว่า เป็นการปกครองที่มีลักษณะเป็นแบบ

                  รัฐธรรมนูญนิยม (constitutionalism) โดยไม่มีการแทรกแซงหรือเปลี่ยนแปลงหรือละเมิดหลักการดังกล่าว
                  ในอีกทางหนึ่ง แม้จะมีรัฐบาลและผู้ปกครองที่มาจากการเลือกตั้งตามวิถีแห่งประชาธิปไตย แต่หากผู้นำาคิดว่า

                  เขามาจากการเลือกตั้ง มีความชอบธรรมโดยวิถีทางแห่งประชาธิปไตย จึงไม่ให้ความสำาคัญกับสถาบันอื่น
                  ทั้งสภาและศาล ลักษณะดังกล่าวก็ส่งผลเสียต่อความตั้งมั่นของประชาธิปไตยได้เช่นกัน (Linz, Juan J.

                  and Stepan, Alfred, 1996, p.19)


                          4. ระบบราชการที่สามารถใช้การได้ (usable bureaucracy) เนื่องจากเงื่อนไขสามประการข้างต้น
                  ต้องอาศัยระบบราชการในการดำาเนินการเป็นหลัก รัฐบาลประชาธิปไตยจึงต้องสามารถใช้อำานาจอันชอบธรรม

                  ในขอบเขตพื้นที่นั้น ๆ ได้ กล่าวคือ รัฐบาลต้องสามารถสั่งการ ควบคุม ระบบราชการหรือเก็บภาษีเพื่อหารายได้
                  เข้ารัฐ ไม่เช่นนั้นอาจเกิดปัญหาที่เป็นอุปสรรคบั่นทอนประชาธิปไตยได้ อย่างในประเทศชิลีและหลายพื้นที่

                  ในโลกที่ระบบราชการไม่มีการทำาหน้าที่อย่างเหมาะสมมากเพียงพอ หรือบางครั้งระบอบที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย
                  ได้ปล่อยให้ข้าราชการเข้าไปกุมอำานาจในตำาแหน่งที่มีความอ่อนไหวทางการเมือง เช่นในหน่วยงานด้าน

                  งานยุติธรรมหรือด้านการศึกษา เป็นต้น

                          5. สังคมเศรษฐกิจ (economic society) Linz and Stepan เชื่อว่าสภาพเศรษฐกิจในรูปแบบเดิม

                  ที่สุดโต่งสองขั้วไม่อาจนำาพาไปสู่ความตั้งมั่นของประชาธิปไตยได้ กล่าวคือ ขั้วแรก เศรษฐกิจแบบสั่งการ/

                  แบบวางแผน (command economic) ที่รัฐหรือองค์กรสำาคัญระดับชาติมีบทบาทในการวางแผน แทรกแซง
                  กำาหนดนโยบายทางเศรษฐกิจ และ ขั้วที่สอง เศรษฐกิจแบบอาศัยกลไกตลาดแต่เพียงอย่างเดียว (pure market
                  economy) ที่รัฐไม่ได้มีบทบาทในการกำาหนดหรือแทรกแซงทางเศรษฐกิจแต่อย่างใด ปล่อยให้กลไกตลาด

                  ดำาเนินไปอย่างเต็มที่ โดยหวังว่า “มือที่มองไม่เห็น” จะจัดระเบียบในตลาดเอง Linz and Stepan เสนอว่า

                  ควรปฏิเสธการผลักดันระบบเศรษฐกิจไปสู่ขั้วใดขั้วหนึ่ง แต่ต้องใช้สิ่งที่เขาเรียกว่า สังคมเศรษฐกิจ (economic
                  society) ซึ่งเป็นการไกล่เกลี่ยประนีประนอมกันระหว่างรัฐและตลาด โดยการสร้างปทัสถาน กฎระเบียบ นโยบาย
                  สถาบันบางอย่างขึ้นมา จนระบอบประชาธิปไตยสามารถผลักดันนโยบายบางอย่างผ่านทาง economic society

                  และสามารถจัดบริการสาธารณะในเรื่องสำาคัญ ๆ ได้ เช่น การศึกษา สุขภาพ การขนส่งคมนาคม เป็นต้น

                  ในทางตรงข้ามหากสังคมเศรษฐกิจไม่สามารถเกิดขึ้น ไม่มีการจัดตาข่ายรองรับผู้ที่ถูกผลักออกจากตลาด
                  (safe net) และปล่อยให้เกิดความเหลื่อมลำ้าทางเศรษฐกิจสูง การจะหวังให้ประชาธิปไตยตั้งมั่นก็คงจะ
                  เป็นไปไม่ได้ (Linz, Juan J. and Stepan, Alfred, 1996, p.20-21)


                          นักวิชาการบางท่านเชื่อว่า ความตั้งมั่นของประชาธิปไตยต้องอาศัยเงื่อนไขบางอย่างก่อนเสมอ

                  ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ทันที เช่น Larry Diamond เชื่อว่าความตั้งมั่นของระบอบสามารถเกิดขึ้นได้หลายทาง
                  เพราะประชาธิปไตยนั้นมีหลายรูปแบบและมีหลายระดับ แต่ในประเทศประชาธิปไตยเกิดใหม่จำาต้องมีเงื่อนไขนำา
   32   33   34   35   36   37   38   39   40   41   42