Page 31 - kpiebook63012
P. 31

31








                          จะเห็นได้ว่า การเลือกตั้งที่เป็นอิสระและเป็นธรรม จัดขึ้นเป็นประจำาโดยสมำ่าเสมอ เป็นเงื่อนไขที่ขาด

                  ไม่ได้ในระบอบประชาธิปไตย ถ้าปราศจากหลักการดังกล่าวแล้ว ต่อให้ระบบการเมืองมีการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ
                  ในด้านอื่น ๆ อย่างไรก็ไม่อาจจัดได้ว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย แต่กระนั้น คุณภาพของระบอบประชาธิปไตย

                  หาได้ขึ้นอยู่กับการเลือกตั้งแต่เพียงอย่างเดียวไม่ สรุปก็คือ การเลือกตั้งเป็นเงื่อนไขและกระบวนการที่จำาเป็น
                  (necessary) แต่ยังไม่เพียงพอ (sufficient) ต่อการเป็นประชาธิปไตย ดังนั้น ต้องไม่ลืมว่า ในระบอบประชาธิปไตย

                  ประชาชนต้องมีสิทธิที่สำาคัญอื่น ๆ และมีหน้าที่ในการติดตามตรวจสอบการทำางานของตัวแทนที่ตนได้เลือกตั้งไป
                  เพราะการเลือกตั้งเพียงอย่างเดียวไม่ได้เป็นหลักประกันว่า “ตัวแทน” ที่ประชาชนได้เลือกแล้วจะรักษาเจตจำานง

                  และปกป้องผลประโยชน์ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งและประชาชนทั่วไปแต่อย่างใด





                          2.1.4 ระบบกำรเลือกตั้ง


                          ทฤษฎีรัฐศาสตร์การเมืองเปรียบเทียบให้ความสำาคัญกับระบบเลือกตั้งว่าเป็นทั้งตัวแปรตาม

                  (Dependent Variable) และตัวแปรต้นหรือตัวแปลอิสระ (Independent Variable) ในการวิจัย นักรัฐศาสตร์
                  ส่วนใหญ่มองว่าระบบเลือกตั้งเป็นตัวแปรตาม เนื่องจากถูกกำาหนดโดยนักการเมืองและผู้ร่างกฎหมายเลือกตั้ง

                  แต่ระบบเลือกตั้งที่ถูกกำาหนดขึ้นมานั้นสามารถส่งผลต่อพฤติกรรมของนักการเมือง ระบบพรรคการเมืองและ
                  การจัดทำายุทธศาสตร์ของพรรคการเมืองอย่างมีนัยสำาคัญ ในประการหลังนี้เองจึงกล่าวได้ว่าระบบเลือกตั้งเป็น

                  ตัวแปรต้นของระบบการเมืองด้วย (สิริพรรณ นกสวน, 2558, น. 103-116)






                          ระบบเลือกตั้งโดยทั่วไปสามารถแบ่งออกเป็น 4 รูปแบบ ดังนี้


                          1) ระบบเลือกตั้งแบบเสียงข้างมากธรรมดา (Plurality System) หรือ “First Past the Post”
                  (FPTP)


                          กล่าวคือ ใครผ่านด่านเป็นคนแรกหรือได้คะแนนมากที่สุดก็จะได้เป็นผู้ชนะการเลือกตั้งเป็นระบบที่ง่าย
                  ที่สุดในกระบวนการทั้งหมดนั้นคือ ผู้สมัครที่ได้รับคะแนนสูงสุดเป็นผู้ชนะไม่ว่าจะได้คะแนนเท่าไหร่ก็ตาม เช่น

                  ในเขตเลือกตั้งหนึ่งมีผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง 100 คน มีผู้ได้คะแนนเรียงกัน ดังนี้ : 35 : 34 : 31 ผู้ที่ได้รับคะแนนเสียง

                  สูงสุดคือ 35 คะแนน จะเป็นผู้ได้รับเลือกตั้ง ทั้ง ๆ ที่ได้รับคะแนนเสียงมากกว่าผู้ที่ได้อันดับสองคือ 34 คะแนน
                  เพียง 1 คะแนน ยิ่งไปกว่านั้นหากพิจารณาดี ๆ จะเห็นว่าประชาชนส่วนใหญ่มากถึง 65 คะแนนเสียงไม่ได้เลือก
                  ผู้ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ ซึ่งอาจทำาให้เกิดคำาถามเรื่องความชอบธรรมของผู้ชนะได้
   26   27   28   29   30   31   32   33   34   35   36