Page 45 - kpiebook63011
P. 45

45








                  แต่จำาเป็นต้องศึกษาควบคู่กันไปกับทฤษฎีปัจจัยตัวกำาหนด (Deterministic Theory) กล่าวคือ ศึกษาว่า

                  ในการเลือกลงคะแนนเสียงนั้นมีปัจจัยใดบ้างที่มีผลต่อการตัดสินใจทางการเมืองของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
                  โดยในทางทฤษฎีแล้วได้กำาหนดปัจจัยอย่างทั่วไปเช่น เพศ อายุ อาชีพ การศึกษา ที่อยู่อาศัย ฯลฯ เหล่านี้

                  เป็นปัจจัยพื้นฐาน แต่ในขณะเดียวกันก็มีปัจจัยทางสังคม การเมือง ที่ส่งผลต่อการเลือกใช้สิทธิ์ลงคะแนนเสียง
                  อีกด้วย ปัจจัยที่ 1 คือการพึ่งพาต่อรัฐหรือเป็นลูกจ้างรัฐ/ข้าราชการ ปัจจัยที่ 2 คือการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร

                  และปัจจัยที่ 3 คือการหลีกหนีความขัดแย้งโดยไม่ไปใช้สิทธิ์ (สมพันธ์ เตชะอธิกและคณะ, 2553, น.5-6)
                  นอกจากนี้ ตามการศึกษาของ Seymour Martin Lipset (1997 อ้างใน ศุภมิตร ปิติพัฒน์, 2562) ได้ค้นหาว่า

                  อะไรคือปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมือง โดยเฉพาะพฤติกรรมในการเลือกตั้งของประชาชน
                  ผู้ออกเสียงลงคะแนน อะไรคือแหล่งที่มาของคุณค่าและขบวนการเคลื่อนไหวที่ช่วยรักษาสนับสนุนหรือเป็น

                  อันตรายต่อสังคมประชาธิปไตย รวมทั้งอธิบายว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อการเลือกตั้งนอกจากจะมีผลต่อการตัดสินใจ
                  เลือกแล้ว ยังมีผลต่อการตัดสินใจว่าจะไปลงคะแนนเสียงหรือไม่อีกด้วย (สมพันธ์ เตชะอธิกและคณะ, 2553,

                  น.5-6) แต่การอธิบายในเชิงทฤษฎีนี้ได้อธิบายศึกษาภายใต้สภาวการณ์ของการเมืองที่เป็นรูปแบบปกติทั่วไป
                  แต่ขณะที่บริบททางการเมืองไทยนั้นยังมีมิติที่หลากหลายมากกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการสังกัดพรรคการเมือง

                  ตัวบุคคล หรืออุดมการณ์ชุดใดชุดหนึ่ง ระบบอุปถัมภ์ ลักษณะการรวมกลุ่มภายใต้การนำาของหัวคะแนน
                  การใช้นโยบายประชานิยม การใช้สื่อ หรือการดำาเนินงานผ่านองค์กรของภาครัฐ/ราชการ เหล่านี้เป็นต้น


                          โดยเฉพาะการผสานกันระหว่างปัจจัยสองประการคือ ระบบอุปถัมภ์และการขยายตัวของทุนท้องถิ่น

                  การขยายตัวของนายทุนพ่อค้าในท้องถิ่นที่ได้ผันตัวเข้ามาในแวดวงการเมือง และใช้กำาลังทุนในการหาเสียงเลือกตั้ง
                  ทั้งการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งในรูปแบบปกติ และการซื้อเสียง (Vote Buying) โดยดำาเนินการผ่านคนกลางคือ

                  หัวคะแนน จนกลายเป็นวิธีการสำาคัญในการชนะการเลือกตั้งท่ามกลางความต้องการของปัจจัยทางเศรษฐกิจ
                  ของชุมชนท้องถิ่นในชนบท การซื้อเสียงจึงจัดเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงของ

                  ผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งในสังคมชนบทไทย ที่ยึดถือระบบวัฒนธรรมบุญคุณอุปถัมภ์ (Patron System)
                  ที่เอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กล่าวคือเงินซื้อเสียงอาจไม่สามารถกำาหนดพฤติกรรม

                  การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งได้ ถ้าขาดมิติของการเป็นผู้อุปถัมภ์ที่จะช่วยเหลือประชาชนในท้องถิ่นได้
                  จากมุมมองต่อรัฐว่าเป็นองค์กรที่ไม่อาจพึ่งพาได้เท่ากับนักการเมืองในท้องที่ของตน แต่ในขณะเดียวกัน

                  ชนชั้นกลางในเมืองกลับมีลักษณะการเลือกลงคะแนนเสียงให้แก่พรรคการเมืองด้วยวิจารณญาณทางการเมือง
                  มากกว่าลักษณะของการชำาระหนี้บุญคุณ (ศุทธิกานต์ มีจั่น, 2556, น.112- 115)


                          จากแนวคิดที่ใช้มาประกอบการอธิบายการศึกษาจะเห็นว่า การจัดการเลือกตั้งให้ตอบสนอง
                  ความต้องการและการแสดงออกซึ่งสิทธิของประชาชนถือเป็นพื้นฐานที่สำาคัญของการสร้างความตั้งมั่นของ

                  ประชาธิปไตย เนื่องจากนำามาสู่การสร้างสถาบันทางการเมืองและพรรคการเมืองให้เข้มแข็ง โดยเฉพาะ

                  รัฐธรรมนูญ กฎหมายต่าง ๆ และแนวทางในการจัดการเลือกตั้งมีผลต่อการเรียนรู้ทางการเมืองของประชาชน
                  และส่งผลต่อทั้งการพัฒนาและกำาหนดพฤติกรรมทางการเมืองของประชาชน
   40   41   42   43   44   45   46   47   48   49   50