Page 67 - kpiebook63010
P. 67

66       การศึกษาความเคลื่อนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกตั้ง
                    สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 กรุงเทพมหานคร







             ของคะแนนเสียงเหล่านั้นด้วย นอกจากการพิจารณาภาพรวม สอง เมืองบางเมืองที่มีรายได้ตำ่ากว่าค่าเฉลี่ย

             และมีคนผิวขาวมากกว่าผิวสีอื่นโดยเฉพาะไม่ใช่ฮิสแปนิก รวมทั้งมีการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยน้อยกว่า
             อีกกลุ่มหนึ่ง มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นรีพับลิกันมากขึ้น ขณะที่เมืองใหญ่กลายเป็นเดโมเครตมากขึ้นและไม่สนใจ

             ปัญหาของคนที่ยากจน สาม การไม่ไปเลือกตั้งก็มีผลทำาให้ฝ่ายหนึ่งเสียเปรียบเช่น การลดลงของผู้ลงคะแนนเสียง
             ของอาฟริกันอเมริกันมีผลทำาให้คลินตันแพ้ (Byler, 2017)


                      ในกรณีของอินเดีย แม้ว่าคะแนนเสียงของคนในเมือง (และเขตเลือกตั้งในเมือง) อาจจะมีน้อยกว่า

             คนชนบทในการเลือกตั้งโลกสภา และคนในเมืองอาจไม่ได้ให้ความสนใจกระตือรือร้นในการลงคะแนนเสียง
             แต่เสียงในเขตเมืองนั้นมีบทบาทมากในกรณีที่การแข่งขันในครั้งนั้นสูสีกันมาก ๆ โดยเฉพาะเมื่อคนในเมือง

             ออกไปลงคะแนนเพิ่มขึ้นซึ่งแปลว่าให้ความสนใจกับการเมืองมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น สำาหรับพรรคบีเจพี ซึ่งมี
             ฐานเสียงในเมืองในอัตราส่วนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั้งประเทศ การรักษาฐานเสียงเป็นเรื่องสำาคัญ (ในปี 2009

             ในเมืองมีร้อยละ 23.6 ทั้งประเทศมี 18.8 ขณะที่ในปี 2014 ในเมืองมีร้อยละ 38 ขณะที่ทั้งประเทศมีร้อยละ 31)
             ส่วนพรรคคองเกรส.ส.ัดส่วนของคะแนนเขตเมืองกับเขตประเทศเท่ากัน ดังนั้นก็จะเสียไปไม่ได้ (Bureau, 2019)



             2.1.11 พรรคกำรเมือง


                      แม้ว่าในการวิจัยนี้จะมุ่งเน้นที่การเคลื่อนไหวในการเลือกตั้ง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า พรรคการเมืองนั้น
             มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องของการเลือกตั้งอย่างใกล้ชิดและเป็นตัวแปรสำาคัญในกระบวนการเคลื่อนไหว นอกจากนี้

             การศึกษาการเลือกตั้งในระดับพื้นที่หนึ่ง ๆ ย่อมจะต้องเกี่ยวพันกับพรรคการเมืองในภาพรวมทั้งประเทศด้วย


                      Blondel and Inoguchi (2012) และทีมวิจัยได้ทำานำาเสนอตัวชี้วัดหรือปัจจัยในการพิจารณาลักษณะ
             ของพรรคการเมืองร่วมสมัยของทั้งยุโรปตะวันตกและเอเชีย โดยชี้ให้เห็นกลุ่มของปัจจัยที่สำาคัญสี่กลุ่มได้แก่


                      1.  ความเชื่อมโยงของพรรคการเมืองกับสังคม ได้แก่

                         1.1  ผลการเลือกตั้งในระดับชาติ จะได้ทราบว่าได้คะแนนมากหรือน้อย และเปรียบเทียบกับ

                             ครั้งก่อน ๆ เป็นอย่างไร

                         1.2  ธรรมชาติ หรือลักษณะที่แท้จริงของระบบการเลือกตั้งในระดับชาติ ซึ่งมีผลต่อแบบแผน
                             ของการลงคะแนน และอาจมีผลต่อจำานวนและผลการเลือกตั้ง

                         1.3  พรรคการเมืองต่าง ๆ ที่ลงแข่งขัน หรือ ล้มหายตายจากไป อะไรคือสาเหตุที่หายไป

                         1.4  พรรคการเมืองที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่
                         1.5  สัดส่วนของคะแนนเสียงที่แต่ละพรรคได้รับจาการเลือกตั้งทั่วไป เรื่องนี้จะมีผลต่อ

                             ความแข็งแกร่งของพรรค

                         1.6  ระดับของความผันผวนที่ส่งผลกระทบต่อพรรค เพื่อจะดูว่าพรรคเก่านั้นจะคงทนหรือไม่
   62   63   64   65   66   67   68   69   70   71   72