Page 100 - kpiebook63010
P. 100
99
สูงอายุ ส่วนผู้ที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมตำ่า มีการศึกษาตำ่ามักจะลงคะแนนเสียงโดยการชักจูงจากผู้อื่น
มากกว่าผู้ที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมสูงซึ่งตัดสินใจเลือกผู้สมัครได้ช้าและมีความเป็นตัวของตัวเอง
ในการตัดสินใจน้อยกว่า นอกจากนี้ ผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งไม่ว่าจะมีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม ระดับการศึกษา
หรืออายุแตกต่างกันอย่างไร ต่างก็มีแนวโน้มจะเลือกตัวผู้สมัครมากกว่าพรรคการเมือง โดยให้ความสำาคัญกับ
นโยบายของผู้สมัครมากกว่าเหตุผลประการอื่น แต่ทั้งนี้ผู้ที่มีการศึกษาสูง มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมสูง
และมีอายุอยู่ในช่วงวัยหนุ่มสาวตอนปลาย (26-30 ปี) ก็ยังคงเลือกโดยคำานึงถึงพรรคมากกว่าผู้ที่มีฐานะ
ทางเศรษฐกิจและสังคมตำ่าและมีการศึกษาตำ่า
ผู้ที่ให้ความสำาคัญกับบุคลิกภาพ ชื่อเสียง นโยบายของผู้สมัคร ลักษณะตำาแหน่งผู้ว่าราชการ
กรุงเทพมหานคร ตลอดจนชื่อเสียงของพรรคการเมือง จะไปใช้สิทธิเลือกตั้งสูงกว่าผู้ที่ไม่ให้ความสำาคัญ
ในประเด็นเหล่านี้
นอกจากนี้ดูด้วยว่า แบบแผนพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2528 มีรูปแบบที่เหมือนกันหรือแตกต่างกันกับการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรอย่างไร
ผลการศึกษาพบว่า แบบแผนพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งในครั้งนี้ส่วนใหญ่เป็นไปในทำานองเดียวกัน
กับแบบแผนพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งผู้แทนราษฎร กล่าวคือ ผู้ที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและ
สังคมปานกลางขึ้นไป มีการศึกษาสูงในระดับปริญญาตรีขึ้นไป จะไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งด้วยความสำานึก
ของตัวเองสูง ตัดสินใจว่าจะเลือกใครได้รวดเร็วและแน่นอนกว่าผู้ที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมตลอดจน
การศึกษาตำ่า
ประชาชนชาวกรุงเทพฯมีแนวโน้มในการตัดสินใจเปลี่ยนไปจากเดิม โดยเปลี่ยนมาคำานึงถึง
ตัวบุคคลมากกว่าพรรค ซึ่งเป็นแบบแผนพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งระดับชาติ ประชาชนยังคง
ให้ความสำาคัญกับนโยบายอยู่ถึงแม้จะเป็นนโยบายของผู้สมัครก็ตาม ทั้งนี้ผู้ที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม
ตลอดจนการศึกษาสูงยังคงตัดสินใจเลือกโดยคำานึงถึงพรรคการเมืองในอัตราที่สูงกว่าผู้ที่มีฐานะทางเศรษฐกิจ
และสังคมรวมทั้งการศึกษาตำ่า
นอกจากนี้ บุคลิกภาพ ชื่อเสียง และนโยบายของผู้สมัครเป็นปัจจัยสำาคัญที่จูงใจให้ประชาชน
ไปใช้สิทธิเลือกตั้งเพิ่มขึ้น ซึ่งแต่เดิมการเลือกตั้งในระดับชาติผู้ไปลงคะแนนส่วนใหญ่ในเขตเมืองไปด้วยสำานึก
ว่าเป็นหน้าที่ของพลเมืองดี สำานึกเพียงว่าเลือกให้หมดหน้าที่ของตน ส่วนผู้ลงคะแนนในชนบทมักจะไป
โดยถูกระดมมากกว่า ผู้เลือกตั้งไม่ได้คำานึงว่าใครจะชนะ จะมีผลเปลี่ยนแปลงรัฐบาลหรือไม่ แต่การเลือกตั้ง
ผู้ว่ากรุงเทพฯครั้งนี้ประชาชนให้ความสนใจต่อผลการเลือกตั้ง ซึ่งเข้าใจได้ว่าผู้ลงคะแนนต้องการผลักดันให้บุคคล
ที่ตนชื่นชอบเข้าไปบริหารงาน ในขณะที่ชื่อเสียง และนโยบายของพรรคการเมืองเป็นปัจจัยสำาคัญรองลงมา
ส่วนการรณรงค์หาเสียงมีส่วนจูงใจให้ไปใช้สิทธิและตัดสินใจเลือกผู้สมัครไม่มากนัก