Page 230 - kpiebook62008
P. 230
๑๙๙
การตรากฎหมายภาษีไทยของรัฐสภามักให้อำนาจฝ่ายบริหารในการออกกฎหมายลำดับรองซึ่งสามารถที่
จะแก้ไขเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางภาษีที่สำคัญจนทำให้ฝ่ายบริหารสามารถกำหนดเนื้อหาของกฎหมายภาษีได้เอง
จึงเกิดปัญหาว่าฝ่ายบริหารอาจกำหนดเนื้อหาหลักของกฎหมายภาษีได้ซึ่งขัดต่อหลักความชอบด้วยกฎหมายภาษี
คณะผู้วิจัยจึงเสนอให้มีการบัญญัติกฎหมายภาษีไว้ในรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ ทั้งนี้เนื่องจาก
ความเป็นกฎหมายสูงสุดย่อมถูกแก้ไขได้ยาก และการที่ฝ่ายบริหารจะออกกฎหมายลำดับรองมาขัดหรือแย้งก็
ย่อมจะกระทำมิได้ โดยจะใช้วิธีการบัญญัติจำกัดอำนาจของฝ่ายบริหารไว้ในรัฐธรรมนูญ โดยการกำหนดขอบเขต
ของภาษีในเรื่องนั้น ๆ และตีความบังคับใช้โดยเคร่งครัด
๕.๓ การเพิ่มประสิทธิภาพในการคุ้มครองสิทธิของผู้เสียภาษีระหว่างกระบวนการจัดเก็บภาษี
การใช้หนังสือตอบข้อหารือ: ควรมีกฎหมายออกมาให้อำนาจหน่วยงานใด ๆ ให้มีอำนาจตอบข้อหารือได้
และให้หนังสือตอบข้อหารือดังกล่าวมีผลผูกพันทั้งกรมสรรพากรเองและตัวผู้เสียภาษีด้วย
การกำหนดสิทธิของผู้เสียภาษีไว้เป็นการเฉพาะในกฎหมายภาษี เนื่องจากประมวลรัษฎากรได้กำหนด
บทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิของผู้เสียภาษีไว้ในกฎหมายลำดับรอง อีกทั้งในบางกรณีก็มิได้บัญญัติไว้จนทำให้ต้องมีการ
ปรับใช้จากพระราชบัญญัติอื่น เช่น พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ จึงแสดงให้เห็นถึง
ความไม่ชัดเจนในสิทธิของผู้เสียภาษี มีผลให้ผู้เสียภาษีไม่ทราบว่าตนมีสิทธิอะไรบ้าง หรือทราบแล้วแต่ไม่ทราบ
วิธีการบังคับตามสิทธิหรือทราบช้า และยังก่อให้เกิดความซ้บซ้อนและความไม่แน่นอนในการใช้บังคับกฎหมายของ
เจ้าหน้าที่อีกด้วย ในการนี้จึงควรมีการบัญญัติถึงสิทธิของผู้เสียภาษี รวมถึงกระบวนการในการจัดเก็บภาษีแต่ละ
ประเภทไว้ในกฎหมายภาษีประเภทนั้น ๆ ทั้งนี้เนื่องจากสิทธิและกระบวนการของภาษีแต่ละประเภทอาจแตกต่าง
กัน จึงควรบัญญัติแยกไว้สำหรับภาษีประเภทนั้น ๆ
องค์ประกอบของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เนื่องจากองค์กรตรวจสอบการประเมินในปัจจุบันเป็น
หน่วยงานราชการ จึงอาจไม่มีความเป็นกลางและอาจวินิจฉัยโดยเข้าข้างกรมสรรพากรซึ่งเป็นภาครัฐเช่นเดียวกัน
จึงควรตั้งหน่วยงานเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านภาษีโดยเฉพาะให้ทำหน้าที่ตรวจสอบดังกล่าวซึ่งจะมีความ
เป็นกลางมากกว่า