Page 50 - kpiebook62004
P. 50

บทบาทนานาชาติต่อกระบวนการสร้างสันติภาพในชายแดนใต้ของไทยและบางมุมมองต่อภาพอนาคต






                                กำรรู้ว่ำฝ่ำยขบวนกำรมีจุดยืนในกำรต่อสู้แบบใดย่อมท ำให้บทสนทนำในกระบวนกำร
                   พูดคุยเพื่อหำทำงออกร่วมกันเป็นไปได้อย่ำงตรงประเด็นมำกขึ้น งำนวิจัยชิ้นล่ำสุดของ มำรค ตำมไท เรื่อง

                   สานฝันปาตานีโดยไม่ใช้ความรุนแรง: การวิเคราะห์จากบทสนทนาเพื่อสร้างจินตนาการใหม่ (2562)โดยมี
                   จุดมุ่งหมำยในงำนวิจัยเพื่อที่จะหำว่ำเหตุผลของคนปำตำนีที่ต้องกำรเอกรำชมีอะไรบ้ำง ประโยชน์ของกำร

                   รู้เหตุผลนี้ส ำคัญเพรำะจะสำมำรถรู้ถึงคุณค่ำที่เป็นฐำนของเหตุผลเหล่ำนั้น เมื่อรู้ว่ำคุณค่ำชุดนั้นคืออะไรก็

                   จะสำมำรถศึกษำลักษณะของคุณค่ำนั้นได้ซึ่งเป็นจุดส ำคัญในกำรหำวิธีลดควำมรุนแรงและน ำสันติสุขมำให้
                   คนที่อำศัยในพื้นที่ทุกคน อีกทั้งจะช่วยวำงขบวนกำรเอกรำชปำตำนีในกลุ่มขบวนกำรเอกรำชอื่นๆที่มี

                   มำกมำยในโลกปัจจุบัน ซึ่งมีควำมส ำคัญในกำรท ำควำมเข้ำใจกับแนวทำงสร้ำงสันติภำพในจังหวัดชำยแดน
                   ใต้ อีกจุดมุ่งหมำยหนึ่งของงำนวิจัยคือกำรศึกษำ วิเครำะห์ และเก็บบทเรียน ของแนวทำงพัฒนำกำรกำร

                   ต่อสู้เพื่อเอกรำชในต่ำงประเทศเพื่อที่จะดูควำมสัมพันธ์ระหว่ำงวิธีเคลื่อนไหวไปสู่เอกรำชกับควำมรุนแรงที่

                   เกิดขึ้น ขบวนกำรเอกรำชที่ศึกษำคือขบวนกำรที่ Catalonia, Quebec, Scotland และ Okinawa (มำรค
                   ตำมไท, 2562: บทสรุปผู้บริหำร)โดยในกำรวิจัยดังกล่ำว มำรค ตำมไท ใช้วิธีกำรสัมภำษณ์เชิงลึกกลุ่มผู้ให้

                   ข้อมูลที่เป็นแนวร่วมขบวนกำรจ ำนวน 1,000 คน ให้ข้อมูลที่น่ำจะสะท้อนจุดยืนในกำรต่อสู้ของฝ่ำย

                   ขบวนกำรได้ดีมำกอีกมิติหนึ่ง โดยมำรค ตำมไท พบว่ำ จำกงำนวิจัยที่มีกำรสัมภำษณ์ผู้เห็นต่ำง 1,000 คน
                   โดยมีค ำถำมคือ ท ำไม “เอกรำช” จึงส ำคัญท ำให้หยุดต่อสู้ไม่ได้ และกำรต่อสู้แบบที่เป็นอยู่คือสู้แบบใช้

                   ก ำลังแล้วจะได้อะไร ได้ค ำตอบมำ 1,600 ค ำตอบ ซึ่งจัดแบ่งเป็น 4 กลุ่มดังนี้
                                 1) อยำกได้แผ่นดินของเรำคืนมำ (ร้อยละ 70 ของค ำตอบ)

                                 2) หมดควำมหวังที่จะแก้ปัญหำกับรัฐไทยเช่น ปัญหำควำมยุติธรรม ซึ่งได้ใช้ควำม

                   พยำยำมแล้วแต่ไม่เป็นผลใด ๆ (ร้อยละ 24 ของค ำตอบ)
                                 3) เป็นหน้ำที่ทำงศำสนำ เรำจึงต้องกำรสถำปนำรัฐอิสลำมที่ใช้ กฎชำรีอะห์ (Shariah)

                   (กว่ำร้อยละ 10 ของค ำตอบ)
                                 4) เรำต่ำงกันมำกเกินไป รัฐที่เรำอยำกเห็นและอยำกเป็นส่วนหนึ่งนั้น มีคุณค่ำ ค่ำนิยม

                   อุดมกำรณ์ที่ต่ำงจำกระบบเก่ำ ๆ และต่ำงจำกวัฒนธรรมอุปถัมภ์และอ ำนำจนิยม ในอนำคต เรำเป็นเพื่อน

                   บ้ำนที่ดีกันได้ แต่ไม่อยำกเป็นส่วนหนึ่งของรัฐไทย (25% ของค ำตอบ) ทั้งนี้ มำรค ตำมไท ให้ข้อสังเกต
                   เตือนสติด้วยว่ำจ ำนวนรวมเปอร์เซ็นต์ที่มำกกว่ำ 100 % นั้นเป็นเพรำะคนหนึ่งอำจมีหลำยค ำตอบ



                          2.3.5 มุมมองนานาชาติต่อความขัดแย้งชายแดนใต้
                                  2.3.5.1 ความขัดแย้งด้วยอาวุธภายในประเทศ (Intrastate armed conflict)

                                           Möller, DeRouen Jr., Bercovitch, and Wallensteen (2007: 373-391) ตั้ง

                   ข้อสังเกตไว้ว่ำหลังจำกสิ้นสุดสงครำมเย็นในปี ค.ศ. 1989  สังคมโลกมีแนวโน้มจะเผชิญกับควำมขัดแย้ง
                   รูปแบบใหม่ที่เรียกว่ำเป็นควำมขัดแย้งแบบสงครำมกลำงเมือง (Civil war) ที่มีคู่ขัดแย้งเป็นรัฐฝ่ำยหนึ่งกับ



                                                             37
   45   46   47   48   49   50   51   52   53   54   55