Page 113 - b29256_Fulltext
P. 113

กระทรวงการคลังจนทำให้ต้องรื้อฟื้นพิจารณาเรื่องสุขาภิบาลกันใหม่ ดังปรากฏบันทึกของเซอร์ เอดวาร์ด คุ๊ก ว่าด้วย

                                                     258
            ปัญหาและแนวทางแก้ไขกิจการสุขาภิบาลในสยาม

                   นั่นคือ บันทึกเรื่อง “municipalities in Siam” ลงวันที่ 16 สิงหาคม 2470 โดยมีใจความสำคัญว่าด้วยปัญหา
            สุขาภิบาลที่ไม่ก้าวหน้าของสยามแม้จะตั้งมาราว 30 ปีแล้ว เนื่องจากมีฐานะที่ไม่แน่นอนเนื่องจากสุขาภิบาลมีสภาพที่

            ถูกควบคุมอย่างเข้มวงวดผ่านคณะข้าราชการประจำท้องที่ อันมีผู้ว่าราชการจังหวัดหรือนายอำเภอเป็นประธาน ขณะที่

            ราษฎรไม่มีส่วนร่วมในการควบคุมจัดการเงินของสุขาภิบาลอย่างแท้จริง ประกอบกับข้อบกพร่องสำคัญคือไม่มีการ

            ตรวจบัญชีรายรับรายจ่ายอย่างจริงจังเพราะไม่มีสถานะเป็นนิติบุคคล ส่งผลให้กระทรวงการคลังก็ไม่ส่งเงินจากรัฐบาล

            กลางมาอุดหนุนทำให้ดำเนินกิจการได้อย่างจำกัดเพราะรายได้ที่จัดเก็บได้จากการอนุญาตของรัฐบาลกลางส่วนใหญ่จะ

            หมดไปกับการจ่ายเงินเดือนบุคลากรจึงไม่เหลือสำหรับการดำเนินงานกิจการอย่างอื่นเลย  ทำให้สถานการณ์
                                                                                           259
            ดำเนินงานของสุขาภิบาลหลายแห่งที่ตั้งขึ้น ดังปรากฏรายงานนี้ว่า 25 แห่งไม่เจริญก้าวหน้าเท่าที่ควร แม้ว่าการจัดตั้ง
            สุขาภิบาล so call “municipality” ตามพระราชบัญญัติจัดสุขาภิบาลหัวเมือง 2451 ที่ให้อำนาจจัดเก็บภาษีและ

            รายได้บางประเภทเข้าสู่ท้องถิ่น แต่รัฐบาลยังขาดนโยบายที่ชัดเจนกับรูปแบบและวิธีการปกครอง ทั้งนี้ได้จัดให้

            หน่วยงานที่ควบคุมดูแลท้องถิ่นคือกรมสาธารณสุข  โดยปรากฏว่ามีจำนวนสุขาภิบาลที่คุ๊กเห็นว่าเป็น “25 หน่วยงาน
                                                     260
                                                                                                        261
            ท้องถิ่นที่ใช้ชื่อผิดว่า municipalities ไม่มีการปกครองท้องถิ่นแท้จริงและรายได้ของท้องถิ่นก็คลังไม่ยอมให้”   ใน
            รายงานของคุ๊ก เห็นว่าการตั้งสุขาภิบาลขึ้นในหัวเมืองของรัฐบาลคงไม่ใช้แค่เพียงให้มีคณะบุคคลมาทำหน้าที่รักษาความ
            สะอาดเท่านั้นแต่ยังหวังที่จะวางรากฐานให้ “ราษฎรปกครองท้องที่โดยพละตนอันจะเปนทางฝึกฝนให้ประชาชนรู้สึก

                                                                            262
            รับผิดชอบแห่งการเป็นพลเมือง แลเห็นแก่การของบ้านเมืองได้ในวันข้างน่า”  การพิจารณาเรื่องภาษีสำหรับองค์กร
            ปกครองท้องที่และรายงานของที่ปรึกษาฉบับดังกล่าว ได้นำมาสู่การถกเถียงเรื่องจัดการปรับปรุงการปกครองท้องที่จาก

            สุขาภิบาลมาเป็นการประชาภิบาลจนกลายมาเป็นศัพท์ใหม่ว่าเทศบาลในที่สุด โดยมีจุดประสงค์ให้ประชาชนได้มีส่วน

            ร่วมปกครองท้องที่ชุมชนของตนเองในกิจการที่เป็นประโยชน์ของตนเองตลอดรัชกาลต่อมา


                   ต่อมาในการประชุมคณะอภิรัฐมนตรีสภาที่รัชกาลที่ 7 ทรงกำหนดเอาไว้ให้พิจารณาเรื่องนี้อย่างรวดเร็วใน
            เดือนพฤศจิกายน ก็ถูกจัดขึ้นเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2470 ที่ประชุมมีมติว่า การจัดสุขาภิบาลหัวเมืองควรดำเนิน

            อย่าง “ประชาภิบาล”ตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยได้ตั้งคณะกรรมการชุดหนึ่ง


                   258  สุวัสดี โภชน์พันธุ์, “เทศบาลและผลกระทบต่ออำนาจท้องถิ่น พ.ศ. 2476-2500,” วิทยานิพนธ์อักษรศาสตร มหาบัณฑิต

            สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2543,  หน้า 32.
                   259  ณัฐพล ใจจริงและศรัญญู เทพสงเคราะห์, พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวกับแนวพระราชดำริด้านการปกครอง
            ท้องถิ่น, กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า, 2558, หน้า 40-41.
                   260  สจช. ม.ร7 ม/12. จัดการประชาภิบาล (เทศบาล). 12 ส.ค.2469-11 ก.ย.2471, หน้า 18.

                   261  สจช. ม.ร7 ม/12. จัดการประชาภิบาล (เทศบาล). 12 ส.ค.2469-11 ก.ย.2471, หน้า 19. ดูรายชื่อหน่วยงานท้องถิ่นที่หน้า
            28
                   262  สจช. ม.ร7 ม/12. จัดการประชาภิบาล (เทศบาล). 12 ส.ค.2469-11 ก.ย.2471, หน้า 43.

                                                           112
   108   109   110   111   112   113   114   115   116   117   118