Page 39 - 23464_Full text
P. 39

38



                   ของ ส.ว. อาจถูกพิจารณาว่าเป็นตัวแสดงที่ขวางกั้นการพัฒนาประชาธิปไตยในมิติของการให้เสียงของ
                                                                            23
                   ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจว่าใครควรมีความชอบธรรมในการขึ้นสู่อ านาจ
                          ปริศนาที่จะต้องวิเคราะห์หาค าตอบในส่วนถัดไป คือ เหตุใด ส.ว. จึงยอมลงคะแนนเสียงให้

                   ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวกับระบบเลือกตั้งผ่านสภา ในขณะที่ปัดตกทุกร่างอื่นที่เหลือ? ยิ่งเมื่อ
                   พิจารณาว่าระบบเลือกตั้งฉบับประชาธิปัตย์เสนอแก้ไขให้กลับไปใช้ระบบเลือกตั้งแบบบัตร 2 ใบและ
                   นับคะแนนแบบรัฐธรรมนูญปี 2540 นั้นจะท าให้พรรคการเมืองขนาดใหญ่รวมถึงพรรคเพื่อไทย
                   ได้เปรียบมากขึ้น เหตุใด ส.ว. จึงสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงกติกาที่จะท าให้พรรคฝ่ายค้านได้เปรียบ?

                          ประเด็นที่สอง สืบเนื่องจากประเด็นที่หนึ่ง จะพบว่าพฤติกรรมการลงคะแนนของ ส.ว. ไม่ได้

                   พิจารณาที่เนื้อหาของร่างเพียงอย่างเดียว แต่พิจารณาว่าพรรคใดเป็นผู้น าเสนอด้วย ดังที่พบว่าร่าง
                   แก้ไขระบบเลือกตั้งของพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทยนั้นไม่มีความแตกต่างกันแต่อย่างใด ทั้ง
                   สัดส่วนการแบ่งประเภท ส.ส. และการค านวณคะแนน แต่ ส.ว. ลงคะแนนสนับสนุนร่างของพรรค
                   ประชาธิปัตย์ถึง 210 เสียง แต่ลงคะแนนให้ร่างของเพื่อไทยเพียง 36 เสียงเท่านั้น (ดูในตารางที่ 1)

                   ฉะนั้นพฤติกรรมการตัดสินใจทางการเมืองของ ส.ว. จึงมีลักษณะเป็นการลงคะแนนเสียงเชิง
                   อุดมการณ์ค่อนข้างสูง

                          ประเด็นที่สาม พฤติกรรมการลงคะแนนแก้ไขรัฐธรรมนูญของ ส.ส. มีลักษณะตัดขวางเส้นแบ่ง
                   ขั้วรัฐบาลและฝ่ายค้าน โดยพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลลงมติที่ต่าง

                   จากพรรคพลังประชารัฐในหลายประเด็น เช่นเดียวกับพรรคเพื่อไทยและก้าวไกลที่ต่างเป็นฝ่ายค้าน
                   แต่ก็ลงมติในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับต่างกัน สะท้อนว่าในการแก้ไขรัฐธรรมนูญในการปกครอง
                   ซึ่งเปรียบเสมือนกฎในการแข่งขัน (rule of the game) แต่ละพรรคมุ่งต่อสู้แก้ไขเพื่อเปลี่ยนกฎที่จะ
                   ท าให้ตนเองได้ประโยชน์ที่สุด



                   ข้อเสนอแก้ไขระบบเลือกตั้งของพรรคการเมือง: การเมืองของการออกแบบกติกา

                          การที่รัฐสภารับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับะระบบเลือกตั้งที่เสนอโดย
                   พรรคประชาธิปัตย์ในวันที่ 24 มิถุนายน 2564 นับเป็นจุดนับหนึ่งที่จะน าไปสู่การต่อสู้ขัดแย้งอีกหลาย
                   ระลอกในสภา ซึ่งจะมีผลเปลี่ยนแปลงความได้เปรียบเสียเปรียบและสนามแข่งขันทางการเมืองของ

                   ไทยอย่างมีนัยส าคัญ จึงมีความส าคัญที่จะพิจารณาลงลึกถึงความเหมือนและแตกต่างของร่างที่แต่ละ
                   พรรคผลักดัน ณ จุดเริ่มต้นนี้

                          การเสนอแก้ไขระบบเลือกตั้งในรัฐสภาในปี 2564 นี้ มีข้อเสนอจากพรรคการเมือง 3 พรรค
                   หลัก คือ จากพรรคพลังประชารัฐและพรรคประชาธิปัตย์ในฝั่งรัฐบาล และพรรคเพื่อไทย แกนน าฝ่าย

                   ค้าน โดยร่างของพรรคประชาธิปัตย์นั้นมีเนื้อหาสั้นที่สุด คือ เสนอให้แก้ระบบการเลือกตั้งเพียง 2
                   มาตรา (พรรคเพื่อไทยเสนอแก้ 8 มาตรา ในขณะที่พรรคพลังประชารัฐเสนอแก้ 7 มาตรา) อย่างไร
                   ก็ตามประเด็นหลักของการแก้ไขที่เสนอโดยทั้ง 3 พรรคนั้นกลับมีความเหมือนกันในแง่ระบบเลือกตั้ง
                   ที่พึงปรารถนา คือ ทั้งหมดเสนอให้ประเทศไทยกลับไปใช้ระบบเลือกตั้งแบบเดิมที่เคยใช้สมัย


                   23  Donald Green and Ian Shapiro, Pathologies of Rational Choice Theory: A Critique of Applications
                   in Political Science Paperback (New Haven, Conn. :  Yale University Press, 1996); Charles Tilly,
                   Democracy (Cambridge, Cambridge University Press, 2007).
   34   35   36   37   38   39   40   41   42   43   44