Page 19 - 23464_Full text
P. 19

18



                   ทั้งหมด) อย่างไรก็ดี สังคมควรต้องตระหนักว่าหลักความเป็นสัดส่วนมิใช่เป้าหมายประการเดียว
                   กระทั่งอาจจะไม่ใช่เป้าหมายที่ส าคัญที่สุดเสมอไป (Horowitz 2003, 117) เช่นในสถานการณ์ที่สังคม

                   ต้องการเสถียรภาพทางการเมือง ระบบการเลือกตั้งแบบสัดส่วนอาจจะไม่เหมาะสมเพราะมักจะ
                   น าไปสู่การเกิดพรรคการเมืองจ านวนมากที่กระจัดกระจาย และยังเอื้อให้เกิดพรรคการเมืองแนว
                   อุดมการณ์สุดโต่งซึ่งอาจจะบั่นทอนความสงบสุขและความสมานฉันท์ทางการเมือง

                          2. ความพร้อมรับผิดของผู้แทนต่อผู้ลงคะแนน (accountability) หมายถึงความผูกพันทาง
                   นโยบายที่ผู้แทนมีต่อประชาชนที่เลือกพวกเขาเข้ามา และผู้เลือกตั้งสามารถตรวจสอบควบคุม

                   ให้นักการเมืองที่ตนเลือกเข้าไปท าตามสิ่งที่ได้หาเสียงไว้ หรือเข้ามาดูแลปัญหาความเดือดร้อนของเขต
                   เลือกตั้งตนเอง ในแง่นี้ไม่ใช่ระบบการเลือกตั้งทุกระบบจะสามารถตอบสนองวัตถุประสงค์นี้
                   ได้เหมือนกันหมด ตัวอย่างเช่น ระบบการเลือกตั้งแบบสัดส่วนแบบปาร์ตี้ลิสต์ (แบบไม่ผสม) ที่ใช้ใน
                   บางประเทศ ไม่มีผู้แทนมาจากเขตเลือกตั้งเลยแม้แต่คนเดียว โดยใช้ทั้งประเทศเป็นเขตเลือกตั้งและ

                   ผู้ลงคะแนนเลือกเฉพาะบัญชีรายชื่อโดยไม่สามารถเลือกผู้แทนเขต ซึ่งท าให้ความผูกพันระหว่าง
                   ผู้เลือกตั้งกับผู้แทนไม่มี ในแง่นี้ระบบที่มีผู้แทนจากเขตเลือกตั้งจะตอบสนองเป้าหมายข้อดีได้ดีกว่า

                          3. เสถียรภาพของรัฐบาล เป้าหมายข้อนี้มีความส าคัญ โดยเฉพาะในสังคมที่ประสบปัญหา
                   การล่มสลายของรัฐบาลอยู่บ่อยครั้งท าให้การบริหารประเทศหยุดชะงักและขาดความต่อเนื่อง
                   เสถียรภาพของรัฐบาลท าให้การก าหนดและผลักดันนโยบายมีความคงเส้นคงวา และท าให้รัฐบาล

                   สามารถรักษาสัญญาที่พรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งมีไว้กับผู้ลงคะแนนเสียง เพราะหากรัฐบาลมี
                   อายุสั้นย่อมไม่สามารถผลักดันนโยบายอะไรได้เลย ระบบการเลือกตั้งแบบเสียงข้างมากตอบสนอง
                   เป้าหมายนี้ได้ดีกว่าระบบการเลือกตั้งแบบสัดส่วน

                          4. ความประสานปรองดองระหว่างประชากรต่างศาสนา ชาติพันธุ์ เป้าหมายนี้มีความส าคัญ
                   อย่างยิ่งยวดในสังคมที่มีความขัดแย้งอย่างรุนแรงทางสังคมวัฒนธรรม โดยระบบการเลือกตั้งแบบที่ให้

                   ผู้เลือกตั้งจัดล าดับความชอบผู้สมัครจากมากไปหาน้อย (เช่น ระบบ Alternative Vote และ STV ดัง
                   จะกล่าวในรายละเอียดข้างหน้า) ได้ชื่อว่าตอบสนองเป้าหมายนี้ได้ดีที่สุด  เพราะมีกฎกติกาที่สร้าง
                   แรงจูงใจให้พรรคการเมืองออกแบบนโยบายที่ประสานประโยชน์และความคิดเห็นที่แตกต่าง

                   หลากหลายมากกว่าที่จะมีนโยบายสุดโต่งหรือคับแคบซึ่งมุ่งตอบสนองกลุ่มศาสนา/ชาติพันธุ์หนึ่งใด
                   เป็นการเฉพาะ โดยระบบการเลือกตั้งดังกล่าวจะมีข้อบังคับให้พรรคการเมืองต้องได้คะแนนเสียงจาก
                   กลุ่มประชากรที่ไม่ใช่ฐานเสียงหลักของตนเพื่อชนะการเลือกตั้ง ฉะนั้นจึงบีบให้พรรคการเมืองต้องเข้า
                   หากลุ่มผู้เลือกตั้งหลากหลายกลุ่ม เช่น การเลือกตั้งประธานาธิบดีในไนจีเรียก าหนดว่าผู้ชนะต้องได้

                   คะแนนเสียงอย่างน้อย 25% จากสองในสามของมลรัฐทั้งหมดของประเทศ หรือการเลือกตั้ง
                   ประธานาธิบดีอินโดนีเซียซึ่งเพิ่งมีการเลือกตั้งโดยตรงครั้งแรกในปี 2547 ได้ก าหนดให้ผู้ชนะต้องได้รับ
                   คะแนนเสียงข้างมากแบบเด็ดขาดคือ เกิน 50% และยังต้องได้รับคะแนนเสียงอย่างน้อย 20% จาก
                   อย่างน้อย 16 จังหวัดจากจ านวนจังหวัดทั้งหมด 32 จังหวัด (Emmerson 2004) ข้อก าหนดนี้มีขึ้น

                   เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้สมัครหาเสียงเฉพาะในเขตใดเขตหนึ่งที่รู้ว่าเป็นฐานเสียงอันแน่นหนาของตน
                   หากต้องหาเสียงกระจายไปทั่วประเทศกับกลุ่มประชากรต่างศาสนา ภาษา และชาติพันธุ์ เพื่อให้
                   ประธานาธิบดีเป็นตัวแทนของคนทุกกลุ่มอย่างแท้จริง ซึ่งจะช่วยป้องกันอคติในเชิงนโยบาย และ
                   ไม่ท าให้ประชากรที่เป็นชนกลุ่มน้อยรู้สึกว่าตนไม่ได้รับความใส่ใจจากรัฐบาล
   14   15   16   17   18   19   20   21   22   23   24