Page 14 - 23464_Full text
P. 14

13



                          ส านักคิดอีกส านักหนึ่งที่เราอาจจะเรียกว่าส านักสัจนิยม (realism) ซึ่งมองว่าความสัมพันธ์
                   ทางอ านาจเป็นหัวใจและตัวแปรหลักของการจัดวางความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันการเมืองต่างๆ

                   นักคิดในส านักนี้เสนอว่าโครงสร้างสถาบันการเมืองเป็นผลผลิตของดุลอ านาจของกลุ่มต่างๆ ในสังคม
                   มากกว่าจะเป็นผลผลิตของการออกแบบอย่างมีเหตุมีผลตามอุดมคติหรือตามหลักวิชา (Geddes
                        1
                   1996)  อย่างไรก็ตาม เราอาจโต้แย้งได้ว่าในบางสถานการณ์ เช่น กรณีที่เกิดวิกฤตการณ์ร้ายแรง
                   ในสังคม ปัจจัยอื่นๆ ที่นอกเหนือดุลก าลังอ านาจก็มีส่วนก าหนดเนื้อหาของรัฐธรรมนูญด้วย ไม่ว่าจะ

                   เป็นอุดมคติ อุดมการณ์ ความใฝ่ฝัน หรือความกระตือรือร้นของพลเมือง ล้วนมีส่วนในการผลักดัน
                   เนื้อหาของการปฏิรูปการเมือง ดังที่เราพบได้ในขบวนการปฏิรูปการเมืองที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ
                   (Reynolds, Reilly, and Ellis 2005, 20-23) นอกจากนี้ การออกแบบสถาบันการเมืองหรือปฏิรูป
                   การเมืองที่ไม่ได้เป็นไปตามอุดมคติทุกประการก็ยังสามารถส่งผลทางบวก คือ เอื้อให้เกิดการขยาย

                   พื้นที่การเมืองและการมีส่วนร่วมของพลเมืองได้ ซึ่งในระยะยาวแล้วก็ส่งผลในการปรับเปลี่ยน
                   ความสัมพันธ์ทางอ านาจได้เช่นกัน (Bastian and Luckham, 2003, 309) กล่าวในอีกแง่ก็คือ
                   ชนชั้นน าในทุกสังคมไม่สามารถควบคุมผลสะเทือนของการปรับเปลี่ยนกฎกติกาและสถาบันทาง
                   การเมืองได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด


                          กล่าวโดยสรุป งานวิจัยชิ้นนี้ตั้งอยู่บนฐานทางญาณวิทยาและแนวคิดทางวิชาการที่เห็นว่า
                   สถาบันการเมืองสามารถส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมและปฏิสัมพันธ์ของผู้กระท าการทางการเมือง
                   แม้ว่ามันจะไม่ใช่ปัจจัยเพียงประการเดียว และผลลัพธ์ของการออกแบบสถาบันการเมืองที่เกิดขึ้น
                   บางครั้งอาจถูกแทรกซ้อนด้วยปัจจัยอื่นๆ ที่นอกเหนือความคาดหมาย (Elster 1988) ซึ่งเป็นข้อที่เรา
                   ต้องน ามาพิจารณาเวลาวิเคราะห์สาเหตุและผลกระทบของสถาบันการเมืองด้วยเช่นกัน



                   ระบบเลือกตั้ง: กลไก ความสัมพันธ์เชิงอ านาจ และผลกระทบ

                          เนื่องจากว่าระบบการเลือกตั้งเป็นกลไกเชิงสถาบันที่ส าคัญที่สุดประการหนึ่งในสังคมในการ
                   ก าหนดกฎเกณฑ์การขึ้นสู่อ านาจและการแบ่งสรรปันส่วนอ านาจในสังคม ระบบการเลือกตั้งต่าง

                   ประเภทกันย่อมน าไปสู่ความได้เปรียบเสียเปรียบของคนกลุ่มต่างๆ ในสังคมแตกต่างกันไป ระบบการ
                   เลือกตั้งที่ไม่เหมาะสมอาจท าให้เฉพาะคนบางกลุ่มเท่านั้นที่มีโอกาสถือครองอ านาจและกีดกันคนอีก
                   หลายกลุ่มออกไป (Horowitz 1991a, 1991b, 1997; Reynolds 1993, 2000; Lijphart 1997,
                   1984, 2004; Reilly 2001, Reilly and Reynolds 1999, 2000; Sartori 1997) การออกแบบระบบ

                   การเลือกตั้งอย่างรอบคอบรัดกุมโดยค านึงถึงความสัมพันธ์เชิงอ านาจและรูปแบบความขัดแย้ง
                   ในสังคมย่อมช่วยลดทอนวิกฤตทางการเมืองได้ เพราะช่วยท าให้ “เสียง” และผลประโยชน์ของ
                   คนหลากหลายกลุ่มได้สะท้อนออกในโครงสร้างอ านาจ และท าให้ความขัดแย้งมีช่องทางแก้ไขผ่าน

                   สถาบันทางการเมืองในระบบ โดยเฉพาะในสังคมที่มีความแตกต่างในด้านอุดมการณ์ทางการเมือง
                   เชื้อชาติ ศาสนา และ/หรืออัตลักษณ์อื่นๆ การออกแบบการเลือกตั้งที่เหมาะสมสามารถเปิดโอกาสให้
                   คนกลุ่มน้อยได้เข้าถึงอ านาจในการก าหนดนโยบายด้วย






                   1  ดูความเห็นในท านองเดียวกันในงานคลาสสิคของเสน่ห์ จามริก (2529) ที่เสนอให้ศึกษารัฐธรรมนูญในฐานะผลผลิต
                   ของความสัมพันธ์ทางอ านาจ
   9   10   11   12   13   14   15   16   17   18   19