Page 13 - 23464_Full text
P. 13
12
Democracy Work (1993) ให้ข้อสรุปที่เป็นบทเรียนอย่างดีส าหรับประเด็นความส าคัญของสถาบัน
ทางการเมืองในการแก้ไขปัญหาประชาธิปไตยบกพร่อง โดย Putnam ชี้ว่าการเปลี่ยนแปลงแก้ไข
สถาบันทางการเมืองที่เป็นทางการสามารถส่งผลด้านบวกต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทางการเมือง
แบบแผนทางวัฒนธรรม และโครงสร้างสังคมได้ ข้อสรุปที่มีนัยส าคัญอย่างยิ่งยวดประการนี้มักจะถูก
มองข้ามไปโดยคนที่ชื่นชมงานของ Putnam แน่นอนข้อสรุปหลักของงานของเขาคือการชี้ให้เห็นว่า
สังคมที่มีทุนทางสังคม (social capital) ที่เข้มแข็ง (ซึ่งเขาหมายถึงความไว้เนื้อเชื่อใจของคนในสังคม
วัฒนธรรมชุมชนที่แน่นแฟ้น และเครือข่ายประชาสังคมในแนวราบที่ฝังรากลึกในสังคม) ย่อมเอื้อให้
ระบบการเมืองท างานได้มีประสิทธิภาพกว่าสังคมที่ไม่มีต้นทุนทางสังคมที่ดี แต่นั่นมิได้หมายความว่า
เราไม่สามารถริเริ่มในส่วนที่เป็นการปฏิรูปสถาบันการเมืองได้เลย ตรงกันข้าม Putnam ชี้ให้เห็นว่า
สังคมอิตาลีภาคใต้ที่แม้ไม่มีทุนทางสังคมที่เข้มแข็งเท่ากับสังคมอิตาลีภาคเหนือ (อันเนื่องมาจาก
พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ที่ต่างกัน) แต่เมื่อมีการปฏิรูปสถาบันทางการเมือง (เช่น การกระจาย
อ านาจ การปฏิรูประบบราชการ ฯลฯ) ก็ท าให้สังคมอิตาลีภาคใต้พัฒนารุดหน้าไปกว่าเดิม
ความขัดแย้งลดน้อยลงและรัฐบาลท างานตอบสนองประชาชนได้ดีขึ้นกว่าเมื่อสมัยที่ไม่มีการน า
สถาบันการเมืองแบบใหม่มาใช้ เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะการเปลี่ยนสถาบันทางการเมืองส่งผลให้
มีการเปลี่ยนแปลงคุณค่า การจัดสรรอ านาจ และแบบแผนปฏิสัมพันธ์ของผู้คนในสังคม (Putnam
1993, 183-185)
ในแง่นี้ สถาบันการเมืองเป็นผู้กระท าการทางการเมือง (political actor) ในตัวของมันเอง
เช่นกัน หรือในภาษาวิชาการเราอาจจะเรียกว่าสถาบันการเมืองเป็นตัวแปรอิสระที่ส่งผลกระทบต่อ
ตัวแปรอื่นๆ ด้วยเหตุนี้ อาจกล่าวได้ว่าประชาธิปไตยจะพัฒนาอย่างยั่งยืนได้หรือไม่เพียงใดจึงไม่ได้
ขึ้นอยู่กับเพียงเงื่อนไขทางสังคมและเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับการออกแบบสถาบันการเมือง
อย่างรอบคอบและเหมาะสมด้วย (March and Olsen 1984; Bastian and Luckham 2003;
Diamond 1999) แน่นอนว่าสถาบันการเมืองไม่ใช่ยาวิเศษที่จะแก้ปัญหาทุกอย่างให้ลุล่วงลงไปได้
การปรับปรุงแก้ไขสถาบันทางการเมืองจึงควรเป็นสิ่งที่ด าเนินควบคู่ไปกับการแก้ไขปัจจัยอื่นๆ
ควรกล่าวไว้ด้วยว่า มีส านักคิดบางส านักที่มองว่าการออกแบบสถาบันเป็นค าที่ขัดกัน
ในตัวเอง เพราะขึ้นชื่อว่าอะไรที่เป็น “สถาบัน” นั้น หมายถึงมันวิวัฒนาการ เติบโต และใช้เวลาใน
การฝังรากลึกจนได้รับการยอมรับและประพฤติปฏิบัติเป็นประจ าสม่ าเสมอจากคนในสังคม ฉะนั้น
ไม่ว่าจะมีความพยายามออกแบบดีอย่างไร ประวัติศาสตร์ อุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด และเล่ห์กล
ทางการเมืองก็สามารถพลิกทุกอย่างให้กลับตาลปัตรและก่อให้เกิดผลที่ไม่ได้คาดคิดหรือตรงข้าม
กับที่ผู้ออกแบบสถาบันการเมืองตั้งใจ (unintended consequences) อย่างไรก็ตาม ค าถามคือ
เรามีทางเลือกหรือไม่ ถ้าสมมติว่าระบบระเบียบของสถาบันการเมืองในสังคมหนึ่งนั้นพิสูจน์แล้วว่า
ไม่ท างานหรือล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง หรือมีข้อบกพร่องมากมายซึ่งตระหนักรับรู้
ชัดเจนในหมู่คนทั่วไป หรือระบบที่ขาดไร้ประสิทธิภาพและความชอบธรรม หรือระบบการเมืองที่
คอร์รัปและเอื้ออ านวยประโยชน์ให้คนเพียงกลุ่มเดียว เช่นในแอฟริกาใต้ อูกันดา ศรีลังกา บอสเนีย
ฟิจิ ฯลฯ ในสถานการณ์เหล่านี้ค าถามที่ควรถามไม่ใช่ว่าเราควรออกแบบสถาบันการเมืองแบบใหม่
หรือไม่ ค าถามอยู่ที่ว่าควรออกแบบอย่างไรและให้ใครเข้ามามีส่วนร่วมบ้าง