Page 8 - 23464_Full text
P. 8
7
บทที่ 1
ความส าคัญและปัญหา
งานวิจัยฉบับนี้มุ่งศึกษาสาเหตุและกระบวนการเปลี่ยนแปลงกฎหมายที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง
ในประเทศไทยกับผลกระทบทางการเมือง โดยมุ่งศึกษาการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมพระราชบัญญัติ
ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 ซึ่งจะส่งผลต่อ
การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในปี พ.ศ. 2566 ว่าได้มีการเปลี่ยนแปลงในลักษณะใด และจะมี
ผลต่อโครงสร้างทางการเมือง ทั้งในเชิงสถาบันทางการเมือง ระบบพรรคการเมือง และความขัดแย้งทาง
การเมืองอย่างไร เนื่องจากเป็นช่วงระยะเวลาที่ก าลังเกิดการเปลี่ยนแปลงส าคัญในทางการเมืองของ
ประเทศไทย โดยเฉพาะการเลือกตั้งทั่วไปในปี พ.ศ. 2566 ที่จะเกิดขึ้นภายใต้กติกาการเลือกตั้งใหม่
สมมติฐานเบื้องต้นของงานวิจัยฉบับนี้อยู่บนฐานของการให้ความส าคัญกับ “ระบบเลือกตั้ง”
ในฐานะที่เป็นปัจจัยส าคัญที่ส่งผลให้ประชาธิปไตยมีเสถียรภาพหรือไร้เสถียรภาพ ท าให้ระบบพรรค
การเมืองเข้มแข็งหรืออ่อนแอ ตลอดจนส่งผลต่อการลดหรือขยายความขัดแย้งทางสังคมการเมือง โดย
ระบบเลือกตั้งที่ใช้อยู่ในประเทศไทยก่อนปี พ.ศ. 2544 คือ “ระบบเลือกตั้งแบบเขตเดียวหลายเบอร์”
ซึ่งถูกใช้มาอย่างยาวนาน โดยระบบนี้เป็นระบบเลือกตั้งแบบเสียงข้างมากที่แต่ละเขตเลือกตั้งมีผู้แทน
ได้หลายคน ประชาชนสามารถเลือกผู้แทนได้หลายคนในแต่ละเขต น าไปสู่การแข่งขันกันเองระหว่าง
ผู้ลงสมัครในพรรคการเมืองเดียวกัน ท าให้พรรคการเมืองขาดความเข้มแข็งและความเป็นเอกภาพ
และท าให้พรรคการเมืองมีจ านวนมากเกินไปในระบบการเมืองไทย ด้วยเหตุนี้ ในระยะเวลาดังกล่าว
จึงไม่เคยมีพรรคการเมืองใดได้เสียงข้างมากอย่างชัดเจนในการเลือกตั้ง การปฏิรูปการเมืองและ
การร่างรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2540 จึงมุ่งหมายที่จะสร้างความเข้มแข็งให้กับพรรคการเมือง
เพื่อแก้ปัญหาความไร้เสถียรภาพทางการเมืองและความอ่อนแอของประชาธิปไตยไทย
ผลของการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใน พ.ศ. 2544 และ 2548 ได้ท าให้เกิดรัฐบาล
ที่เข้มแข็ง โดยพรรคไทยรักไทยประสบความส าเร็จเป็นพรรคการเมืองพรรคเดียวที่สามารถจัดตั้ง
รัฐบาลพรรคเดียวได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย แต่ปรากฏการณ์ดังกล่าวก็ได้น าไปสู่
ความขัดแย้งแบ่งขั้วทางการเมือง จนน าไปสู่การรัฐประหารในปี พ.ศ.2549 และความพยายาม
ในการเปลี่ยนแปลงระบบเลือกตั้ง โดยมีเป้าหมายคือ สกัดกั้นไม่ให้พรรคการเมืองมีความเข้มแข็ง
ได้เหมือนเดิม ไม่ต้องการให้มีพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งได้เสียงข้างมากเด็ดขาดจนสามารถ
ตั้งรัฐบาลโดยพรรคการเมืองพรรคเดียวได้ ระบบเลือกตั้งในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 จึงได้เอื้อให้เกิด
ระบบพรรคการเมืองที่อ่อนแอลงไปมาก ท าให้พรรคการเมืองมีความเป็นพรรคการเมืองระดับชาติ
ได้น้อยลง นอกจากนี้ยังมีการลดจ านวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ จาก 100 คนเหลือ
เพียง 80 คน โดยเปลี่ยนเขตเลือกตั้งจากเขตประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง มาเป็นเขตเลือกตั้งตามภูมิภาค
8 กลุ่มจังหวัด แต่ละกลุ่มจังหวัดมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้กลุ่มละ 10 คน แล้วใช้การค านวณจาก
การน าฐานบัญชีกลุ่มจังหวัดนั่นเอง มาค านวณหาสัดส่วนที่แต่ละพรรคจะได้รับ ผู้สมัครในระบบนี้
จะได้รับคัดเลือกตามเกณฑ์คะแนนที่ค านวณได้ เรียงล าดับจากหมายเลขในบัญชีรายชื่อที่แต่ละพรรค
การเมืองส่งมา ด้วยวิธีการเช่นนี้จึงท าให้พรรคการเมืองลดระดับจากการหาเสียงในระดับนโยบาย
ในระดับชาติ มาเป็นการหาเสียงในระดับเขตจังหวัด พรรคการเมืองที่มุ่งหวังจะเป็นพรรคการเมือง
ในระดับชาติจึงถูกลดแรงจูงใจลง ต้องหาความนิยมในระดับภูมิภาคแทน ในขณะที่การเลือกตั้งในแบบ