Page 6 - 23464_Full text
P. 6
5
บทคัดย่อ
งานวิจัยชิ้นนี้วิเคราะห์การผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2560 ในส่วนที่เกี่ยวกับ
ระบบเลือกตั้งทั้งที่ผ่านกระบวนการในรัฐสภาและนอกรัฐสภา และวิเคราะห์ผลทางการเมืองของ
การเปลี่ยนแปลงกฎหมายเลือกตั้งที่เกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย
การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 โดยศึกษาจากผลการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2566
ผลการวิจัยพบว่าแต่ละพรรคการเมืองพยายามผลักดันให้มีการแก้ไขระบบเลือกตั้ง
ไปในทิศทางที่ตอบสนองต่อผลประโยชน์และโอกาสในการชนะการเลือกตั้งของแต่ละพรรค
มากที่สุด โดยพิจารณาจากแบบแผนผลการเลือกตั้งในอดีตจนถึงแนวโน้มที่ปรากฏในการเลือกตั้ง
ปี 2562 เป็นฐานในการตัดสินใจแก้ไขระบบเลือกตั้ง ผลการศึกษาที่น่าสนใจคือ จุดยืนของ
พรรคการเมืองในการแก้ไขรัฐธรรมนูญในส่วนระบบเลือกตั้งนั้นตัดข้ามเส้นแบ่งการเป็นพรรค
ฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล
การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเปลี่ยนระบบเลือกตั้งจากระบบจัดสรรปันส่วนผสมที่มีบัตรใบเดียว
กลับไปเป็นระบบผสมแบบเสียงข้างมากที่มีบัตร 2 ใบตามรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 เกิดขึ้นและส าเร็จ
ลงได้เพราะผลประโยชน์ของพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรคในระบบการเมืองไทย (ณ ขณะนั้น)
คือ พรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นแกนน าฝ่ายค้าน และพรรคพลังประชารัฐซึ่งเป็นแกนน าฝ่ายรัฐบาล
มีความสอดคล้องกัน แม้ว่าจะอยู่ต่างขั้วการเมือง แต่ทั้ง 2 พรรคประเมินว่าระบบเลือกตั้งแบบบัตร
2 ใบที่นับคะแนนแบบเสียงข้างมาก (MMM) จะช่วยท าให้ทั้ง 2 พรรคชนะการเลือกตั้ง
ผลการเลือกตั้งปี 2566 สะท้อนว่าการเปลี่ยนระบบเลือกตั้งมาใช้ระบบผสมแบบ
เสียงข้างมากที่มีบัตร 2 ใบตามรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 ไม่ได้ส่งผลกระทบตามที่พรรคการเมือง
และนักวิเคราะห์คาดคิด กล่าวคือ การเมืองไทยไม่ได้ย้อนกลับไปสู่ระบบ 2 พรรคครอบง า และ
พรรคการเมืองขนาดใหญ่ไม่ได้มีความได้เปรียบในการแข่งขันดังที่คาดคิด ตรงกันข้าม แนวโน้มของ
การเมืองไทยในปัจจุบัน คือ การเมืองระบบหลายพรรคที่มีความแตกต่างหลากหลายทางนโยบาย
และอุดมการณ์ และไม่มีพรรคใดชนะเสียงข้างมากอย่างชัดเจน ซึ่งตอกย้ าประเด็นส าคัญทางทฤษฎี
เกี่ยวกับการออกแบบระบบเลือกตั้งว่าสถาบันและกฎกติกาทางการเมืองแบบเดียวกันเมื่อน ามาใช้
ในบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป ผลลัพธ์ไม่จ าเป็นต้องเหมือนเดิมเสมอไป