Page 18 - 23464_Full text
P. 18
17
หรือสภาคู่ก็ส าคัญส าหรับการออกแบบระบบการเลือกตั้งด้วย เช่น การมีสองสภาเพื่อให้แต่ละสภามี
อ านาจและท าหน้าที่ต่างกัน มีฐานที่มาคนละแบบ และดังนั้นจึงสะท้อนความเป็นตัวแทนประชาชน
ต่างชนิดกัน ฉะนั้นวิธีการในการเลือกตั้งผู้แทนทั้งสองสภาจึงควรมีความแตกต่างกัน เป็นต้น
4. ต้องค านึงถึงลักษณะเฉพาะของปัญหาในสังคม ณ ขณะนั้น เพื่อก าหนดเป้าหมายว่า
ต้องการออกแบบสถาบันการเมืองเพื่อไปบรรลุเป้าหมายใด ทั้งนี้เป้าหมายที่พึงประสงค์มีหลาย
ประการและเป้าหมายแต่ละอันอาจขัดแย้งกันหรือไปด้วยกันไม่ได้ เป็นการยากที่จะฝันถึงการบรรลุถึง
ระบบการเลือกตั้งในอุดมคติที่สามารถบรรลุเป้าหมายที่ดีทุกประการ นักวิชาการที่ศึกษาเรื่องนี้
มีข้อสรุปตรงกันว่าไม่มีระบบการเลือกตั้งใดดีกว่าอีกระบบโดยเด็ดขาด มันขึ้นอยู่กับว่าสังคมนั้น
ต้องการบรรลุวัตถุประสงค์อะไรในทางการเมือง โดยข้อสรุปจากงานวิจัยเปรียบเทียบในประเทศต่างๆ
มีอยู่ว่า หนึ่ง ไม่มีระบอบการเลือกตั้งในอุดมคติที่เหมาะกับทุกประเทศ ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม
บริบท และสภาพปัญหาของแต่ละสังคมที่ต่างกัน และ สอง ระบบการเลือกตั้งแต่ละประเภทมีข้อดี
และข้อเสียผสมกันที่หากต้องการน ามาใช้ ก็ต้องชั่งน้ าหนักเอา เช่น ระหว่างการสร้างเสถียรภาพ
(ความเข้มแข็งของฝ่ายบริหาร) หรือการสะท้อนความเป็นสัดส่วนของกลุ่มต่างๆ (Norris, 2002;
Horowitz 2003; Bastian and Luckham 2003) ฉะนั้นสังคมต้องชัดเจนว่าต้องการออกแบบ
สถาบันการเมืองเพื่อไปบรรลุเป้าหมายอะไร จึงจะสามารถมีเกณฑ์ที่จะวัดได้ว่าเราประสบความส าเร็จ
ในการออกแบบสถาบันการเมืองหรือไม่ หลังจากนั้นจึงพิจารณาตัวเลือกระบบการเลือกตั้งที่มีอยู่
ทั้งหมด และบทเรียนที่เกิดขึ้นจริงในประเทศอื่นๆ ที่ได้ทดลองใช้ระบบการเลือกตั้งในรูปแบบต่างๆ
เพื่อเอามาปรับใช้กับประเทศของตนเอง
เป้าหมายของระบบเลือกตั้ง
หลังจากพิจารณาถึงข้อที่ควรคิดค านึงเมื่อสังคมการเมืองก าลังออกแบบระบบเลือกตั้งแล้ว
ประเด็นส าคัญที่ต้องตระหนักคือ เป้าหมายของการออกแบบระบบเลือกตั้งในสังคมนั้นคืออะไร
ซึ่งแต่ละระบบเลือกตั้งจะมีจุดอ่อนและจุดแข็งที่แตกต่างกันออกไป ชุมชนการเมืองจึงต้องถกเถียงกัน
ให้ตกผลึกเสียก่อนว่าปัญหาที่สังคมการเมืองนั้นก าลังเผชิญคืออะไร เป้าหมายทางการเมืองที่ต้องการ
บรรลุคืออะไร จากนั้นจึงจะสามารถเลือกระบบเลือกตั้งที่เหมาะสมสอดคล้องที่สุดมาใช้ โดยเป้าหมาย
ของการออกแบบระบบเลือกตั้งที่ส าคัญมีอย่างน้อย 5 ประการดังต่อไปนี้ (ปรับประยุกต์จาก
Horowitz 2003)
1. ความเป็นสัดส่วนระหว่างคะแนนเสียงกับที่นั่ง (proportionality) ในระยะหลังมานี้ มี
แนวโน้มว่านักวิชาการและผู้ก าหนดนโยบายจ านวนมากหันมาใช้หลักความเป็นสัดส่วนเป็นเกณฑ์ใน
การตัดสินคุณงามความดีของระบบการเลือกตั้ง โดยเห็นว่าระบบการเลือกตั้งที่สะท้อนความเป็น
สัดส่วนระหว่างคะแนนเสียงที่พรรคการเมืองได้รับกับที่นั่งในสภาได้ดี (ในความหมายว่าหากพรรคได้
คะแนนเสียงสมมติคิดเป็น 40 % พรรคนั้นควรได้ที่นั่งคิดเป็น 40% ของที่นั่งในสภาด้วย) คือ ระบบ
การเลือกตั้งที่ดีที่สุด ในแง่นี้หลายคนจึงเห็นว่าระบบการเลือกตั้งแบบสัดส่วน (ระบบปาร์ตี้ลิสต์และ
ระบบ STV จะกล่าวในรายละเอียดข้างหน้า) เป็นระบบที่ดีที่สุด เพราะระบบเสียงข้างมากมักจะให้ที่
นั่งกับพรรคการเมืองใหญ่มากเกินกว่าคะแนนเสียงที่พรรคได้รับ (เป็นเรื่องปรกติในระบบการเลือกตั้ง
แบบเสียงข้างมากที่พรรคการเมืองที่ได้คะแนนเสียงคิดเป็น 40% อาจจะได้ที่นั่ง 50-60% ของที่นั่ง