Page 121 - 23464_Full text
P. 121

120



                   ขึ้นกับทุกพรรคการเมืองประกอบกัน การเลือกตั้งปี 2566 เป็นการเลือกตั้งที่มีความไม่เป็นสัดส่วน
                   มากที่สุด เพราะมีพรรคการเมืองจ านวนมากได้ที่นั่งในสภาไม่สอดคล้องกับคะแนนนิยมของพรรค

                          ข.  ความเข้มแข็งและเสถียรภาพของรัฐบาล (government)

                          ระบบเลือกตั้งผสมแบบเสียงข้างมากที่น ามาใช้ในการเลือกตั้งปี 2566 ท าให้การจัดตั้งรัฐบาล
                   ผสมประกอบด้วยจ านวนพรรคการเมืองที่ลดน้อยลงเมื่อเทียบกับรัฐบาลผสมที่เกิดขึ้นหลังการเลือกตั้ง
                   ปี 2562 เนื่องจากพรรคการเมืองขนาดเล็กเข้าสู่สภาน้อยลง แต่การเปลี่ยนระบบเลือกตั้งกลับมาใช้
                   ระบบผสมแบบเสียงข้างมากในปี 2566 ไม่ได้น าไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวเสียงข้างมากเด็ดขาด

                   เหมือนในอดีตช่วงปี 2548 เนื่องจากภูมิทัศน์ทางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป มีความเปลี่ยนแปลงทั้งใน
                   ส่วนพรรคการเมือง รูปแบบความขัดแย้งทางสังคม และความคิดของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ท าให้ผลลัพธ์
                   ทางการเมืองของการใช้กติกาการเลือกตั้งเดียวกันไม่ได้มีผลลัพธ์เหมือนเดิม ในการเลือกตั้งปี 2562
                   ไม่มีพรรคการเมืองใดชนะการเลือกตั้งเสียงข้างมากเด็ดขาดจนสามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้

                   รวมถึงไม่มีพรรคใดที่ได้ที่นั่งมากพอ (เกินครึ่งหรือเกือบถึงครึ่งหนึ่ง) ที่จะตั้งรัฐบาลผสมที่มีพรรคเด่น
                   พรรคเดียวได้เช่นกัน
                          อย่างไรก็ตาม ในสังคมไทยซึ่งระบอบประชาธิปไตยยังไม่ลงหลักปักฐาน เสถียรภาพของ

                   รัฐบาลย่อมถูกก าหนดจากหลายเหตุปัจจัยมิใช่เพียงแค่ระบบเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็นการรัฐประหาร
                   รวมถึงปรากฏการณ์ทางการเมืองที่อ านาจฝ่ายตุลาการเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองจนสามารถ
                   สั่นคลอนอ านาจของรัฐบาลได้ นอกจากนั้นยังต้องพิจารณาถึงสถาบันและกลไกทางการเมืองอื่นๆ
                   นอกเหนือจากระบบเลือกตั้งและพรรคการเมืองที่ถูกออกแบบไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งในกรณีของ
                   รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 รูปแบบและที่มาของวุฒิสภาที่ถูกก าหนดไว้ในบทเฉพาะกาลมีบทบาทส าคัญ

                   ต่อเสถียรภาพของรัฐบาล เนื่องจากว่าในช่วง 5 ปีแรกหลังจากบังคับใช้รัฐธรรมนูญ บทเฉพาะกาลของ
                   รัฐธรรมนูญระบุให้วุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้งมีอ านาจในการเลือกนายกฯ ร่วมกับสมาชิกสภาผู้แทน
                   ราษฎร ท าให้เกิดปรากฏการณ์ที่วุฒิสภาอยู่ในสถานะที่เป็นผู้ก าหนดการจัดตั้งรัฐบาลว่าจะยินยอม

                   (หรือไม่ยินยอม) ให้พรรคการเมืองใดเป็นผู้น าการจัดตั้งรัฐบาล พรรคการเมืองที่ชนะอันดับหนึ่งและ
                   สามารถรวมเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรได้แล้วแต่แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคไม่ผ่านความ
                   เห็นชอบจากวุฒิสภา พรรคการเมืองดังกล่าวก็ไม่สามารถเป็นแกนน าจัดตั้งรัฐบาลได้ (ดังกรณีพรรค
                   ก้าวไกลที่สามารถรวมเสียงของพรรคการเมือง 8 พรรค ซึ่งมีจ านวนที่นั่งรวมกัน 312 ที่นั่งเพื่อตั้ง

                   รัฐบาล แต่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคและแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคก้าวไกลไม่ได้
                   รับเสียงสนับสนุนเพียงพอจากวุฒิสมาชิกในการลงคะแนนเลือกนายกฯ) ในทางตรงกันข้าม พรรค
                   การเมืองที่ไม่ชนะการเลือกตั้งมาเป็นอันดับที่หนึ่งแต่ได้รับเสียงสนับสนุนที่เพียงพอจากวุฒิสภาก็
                   สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ แม้จะเป็นรัฐบาลผสมที่มีเสียงปริ่มน้ า หรือเป็นรัฐบาลผสมที่ประกอบด้วย

                   พรรคการเมืองจ านวนมากที่มีอุดมการณ์และแนวทางการเมืองที่ขัดแย้งกันซึ่งอาจส่งผลต่อเสถียรภาพ
                   ของรัฐบาลได้ ด้วยสาเหตุปัจจัยนอกเหนือกลไกการเลือกตั้งดังกล่าวท าให้ในกรณีของไทยไม่มีข้อสรุป
                   ที่ชัดเจนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างระบบเลือกตั้งกับความเข้มแข็งและเสถียรภาพของรัฐบาลแบบ
                   เดียวกับกรณีศึกษาในต่างประเทศ
   116   117   118   119   120   121   122   123   124   125   126