Page 117 - 23464_Full text
P. 117
116
บทที่ 5
บทสรุป: การเมืองของการเปลี่ยนแปลงระบบเลือกตั้งและผลกระทบต่อภูมิทัศน์การเมืองไทย
งานวิจัยชิ้นนี้มุ่งวิเคราะห์สาเหตุและเหตุผลที่ท าให้มีการผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.
2560 ในส่วนที่เกี่ยวกับระบบเลือกตั้งทั้งที่ผ่านกระบวนการในรัฐสภาและนอกรัฐสภา และวิเคราะห์
ผลทางการเมืองของการเปลี่ยนแปลงกฎหมายเลือกตั้งที่เกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัติประกอบ
รัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 โดยศึกษาจากผลการเลือกตั้ง
ทั่วไป พ.ศ. 2566 โดยพิจารณาโครงสร้างทางการเมือง ระบบพรรคการเมือง เสถียรภาพทางการเมือง
และความเข้มแข็งของรัฐบาล โอกาสในการแข่งขันของพรรคขนาดเล็ก รวมถึงผลกระทบที่มีต่อการ
ตัดสินใจของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
การเมืองของการเปลี่ยนกติกา: ผลประโยชน์ที่บรรจบกันของพรรคการเมืองขนาดใหญ่
ในส่วนของสาเหตุและเหตุผลที่ผลักดันให้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงระบบเลือกตั้ง
ผลการศึกษาพบว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญในส่วนระบบเลือกตั้งเกิดขึ้นท่ามกลางกระแส 2 กระแสที่มา
บรรจบกัน คือ หนึ่ง กระแสการเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2560 ซึ่งริเริ่มโดย
ขบวนการภาคประชาชนหลากหลายกลุ่มที่ก่อตัวในช่วง พ.ศ. 2563 เนื่องจากภาคประชาชนเล็งเห็น
ว่ารัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2560 เป็นกติกาที่ขาดความชอบธรรมในแง่ที่มาเนื่องจากเป็นผลผลิตของ
การรัฐประหารล้มล้างการปกครองในปี พ.ศ. 2557 และยังขาดความเป็นประชาธิปไตยในด้านเนื้อหา
เพราะมีการลดทอนอ านาจและสิทธิเสรีภาพของประชาชน จ ากัดการมีส่วนร่วมของประชาชน
เพิ่มอ านาจให้องค์กรที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง และท าลายความเข้มแข็งของระบบพรรคการเมือง
องค์กรประชาสังคมหลายกลุ่มรวมถึงขบวนการเคลื่อนไหวของเยาวชนคนรุ่นใหม่จึงเคลื่อนไหวผลักดัน
ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยให้จัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญจากการเลือกตั้งของประชาชนเพื่อร่าง
รัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ โดยเน้นไปที่ประเด็นโครงสร้างอ านาจ ที่มาของนายกรัฐมนตรี ที่มาและ
ขอบเขตอ านาจขององค์กรอิสระและวุฒิสภา การกระจายอ านาจ และประเด็นสิทธิเสรีภาพของ
ประชาชน ส าหรับในส่วนกติกาการเลือกตั้ง ภาคประชาชนไม่ได้มีข้อเสนอที่เป็นรูปธรรมว่าสนับสนุน
ระบบเลือกตั้งแบบใด แต่เสนอให้มีกระบวนการอภิปรายสาธารณะที่เปิดให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วม
การที่ภาคประชาชนไม่ได้เสนอ “พิมพ์เขียว” ว่าระบบเลือกตั้งที่เหมาะสมที่สุดส าหรับ
สังคมไทยในทัศนะของประชาชนคือระบบเลือกตั้งใด แม้ว่าจะเกิดจากความตั้งใจที่ดีที่ไม่ต้องการถูก
มองว่ามุ่งเคลื่อนไหวเพื่อสร้างความได้เปรียบเสียเปรียบให้กับพรรคการเมืองใดเป็นการเฉพาะ แต่ผล
การศึกษาชี้ว่าข้อเสียของการเคลื่อนไหวที่ไม่ได้น าเสนอตัวแบบระบบเลือกตั้งที่เป็นรูปธรรมมีมากกว่า
ข้อดี ซึ่งข้อเสียประการส าคัญคือ ท าให้ประเด็นกติกาการเลือกตั้งกลายเป็นวาระที่ถูกชี้น าและก ากับ
โดยพรรคการเมือง โดยที่ประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วมในการถกเถียงและตัดสินใจเลือก การต่อสู้
ในการปรับเปลี่ยนกติกาการเลือกตั้งถูกช่วงชิงไปเป็นวาระทางการเมือง (political agenda)
ของพรรคการเมืองแทนที่จะเป็นวาระสาธารณะ (public agenda) ของประชาชน