Page 122 - 23464_Full text
P. 122

121



                          ค.  ความเข้มแข็งของระบบพรรคการเมือง (party system)
                          ผลการเลือกตั้งปี 2566 สะท้อนว่าระบบพรรคการเมืองไทยมีแนวโน้มเปลี่ยนจากระบบสอง

                   พรรคใหญ่แบบที่ปรากฏในช่วงพ.ศ. 2544-2557 ไปสู่ระบบหลายพรรคที่มีความแตกต่างหลากหลาย
                   ทางนโยบายและอุดมการณ์ ปรากฏการณ์ที่น่าสนใจคือ พรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรคที่เคยมีอิทธิพล
                   ต่อการเมืองมาเกือบสองทศวรรษ คือ พรรคเพื่อไทย (ไทยรักไทยและพลังประชาชนเดิม) และพรรค
                   ประชาธิปัตย์ท าผลงานได้ถดถอยกว่าเดิมอย่างมีนัยส าคัญ ความถดถอยของสองพรรคกระแสหลักที่

                   เป็นพรรคขนาดใหญ่ชี้ให้เห็นความเปลี่ยนแปลงส าคัญของระบบพรรคการเมืองไทย ซึ่งเป็น
                   ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลกที่พรรคกระแสหลักเสื่อมความนิยมลงและคนหันไป
                   เลือกพรรคทางเลือกใหม่มากขึ้น ซึ่งความเสื่อมความนิยมของพรรคกระแสหลักและความนิยมที่เพิ่ม
                   สูงขึ้นของพรรคทางเลือก มาจากหลายเหตุปัจจัย อาทิ การที่พรรคกระแสหลักเดิมมีนโยบายที่

                   คล้ายกันมากขึ้นจนประชาชนไม่รู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างพรรคดังกล่าว, แนวโน้มที่พรรคกระแส
                   หลักปรับและลดโทนความเข้มข้นอุดมการณ์ของตนเพื่อหันมาดึงดูดประชาชนตรงกลางท าให้ฐาน
                   เสียงเดิมผิดหวังและหันไปสนับสนุนพรรคทางเลือกที่มีอุดมการณ์ชัดเจน, บทบาทของโซเชียลมีเดีย
                   ที่ท าให้พรรคทางเลือกมีโอกาสหาเสียงและสื่อสารความคิดโดยตรงกับประชาชนได้มากขึ้น รวมถึง

                   ความล้มเหลวในการปรับตัวของพรรคกระแสหลักต่อความผันผวนทางสังคมและประเด็นปัญหาใหม่ๆ

                          ระบบเลือกตั้งผสมแบบบัตร 2 ใบที่ทั้งพรรคเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ผลักดันอย่าง
                   กระตือรือร้นไม่สามารถช่วยให้ทั้งสองพรรคกลับมาสู่สถานะที่ยิ่งใหญ่เหมือนเดิมได้ รวมถึงไม่สามารถ
                   ช่วยให้พรรคพลังประชารัฐเติบโตเป็นพรรคขนาดใหญ่อันดับหนึ่งได้เช่นกัน ในทางตรงกันข้าม พรรค
                   ก้าวไกลกลับเป็นพรรคที่ท าผลงานได้ดีที่สุดโดยสามารถชนะมาเป็นอันดับหนึ่งอย่างเหนือ

                   ความคาดหมายของนักวิชาการและผู้สังเกตการณ์ทุกคน ทั้งที่ก่อนการเลือกตั้งทุกฝ่ายประเมินว่า
                   ระบบเลือกตั้งแบบ MMM จะท าให้พรรคก้าวไกลเสียเปรียบในการแข่งขันและกลายเป็นพรรคขนาด
                   เล็ก ดังนั้นผลการเลือกตั้งในปี 2566 จึงตอกย้ าประเด็นส าคัญทางทฤษฎีเกี่ยวกับการออกแบบสถาบัน

                   ทางการเมือง (institutional design) ว่าสถาบันและกฎกติกาทางการเมืองแบบเดียวกันเมื่อน ามาใช้
                   ในบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป ผลลัพธ์ไม่จ าเป็นต้องเหมือนเดิมเสมอไป

                          เมื่อค านวณหาค่าจ านวนพรรคการเมืองที่มีนัยส าคัญในการเลือกตั้งปี 2562 พบว่าค่าดังกล่าว
                   เท่ากับ 4.85 ซึ่งเมื่อเทียบกับการเลือกตั้งระหว่างปี 2544-2562 พบว่าการเลือกตั้งครั้งนี้มีค่าจ านวน
                   พรรคการเมืองที่มีนัยส าคัญสูงกว่าปี 2544, 2548, 2550 และ 2554 แต่ต่ ากว่าการเลือกตั้งปี 2562

                   (ดูตารางที่ 12 และ 13) ซึ่งสะท้อนว่าระบบพรรคการเมืองของไทยในปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไป
                   อย่างมีนัยส าคัญคือ ระบบพรรคการเมืองได้ก้าวข้ามพ้นระบบ 2 พรรคใหญ่ไปสู่ระบบหลายพรรค
                   โดยแนวโน้มของความเปลี่ยนแปลงนี้เริ่มปรากฏเค้าลางให้เห็นตั้งแต่การเลือกตั้งปี 2562

                          การเลือกตั้งปี 2566 ยังสะท้อนแนวโน้มที่น่าสนใจอีกประการส าคัญของระบบพรรค
                   การเมืองไทย คือ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจ านวนมากมีพฤติกรรมการเลือกตั้งแบบ “แบ่งคะแนน” (split

                   vote) ระหว่างบัตรใบแรกที่ลงคะแนนเลือกผู้แทนเขตกับบัตรใบที่สองที่ลงคะแนนเลือกพรรคในระบบ
                   บัญชีรายชื่อ ส่งผลให้คะแนนของพรรคการเมืองต่างๆ มีช่องว่างระหว่างคะแนนในระบบเขตกับคะแนน
                   ในระบบบัญชีรายชื่อ บางพรรคได้คะแนนจากผู้สมัครในระบบเขตมากกว่าคะแนนของพรรคในบัตร
                   บัญชีรายชื่อ บางพรรคเป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม และช่องว่างนี้มีตั้งแต่ระดับต่ าไปจนถึงระดับสูงเกิน

                   4 ล้านคะแนน สะท้อนว่ามีการลงคะแนนแบบแบ่งคะแนนในสัดส่วนที่สูงในการเลือกตั้ง 2566
   117   118   119   120   121   122   123   124   125   126   127