Page 108 - 23464_Full text
P. 108

107



                          ดังที่อภิปรายข้างต้นว่าแม้จะมีการเปลี่ยนกับไปใช้ระบบเลือกตั้งผสมแบบเสียงข้างมากที่โดย
                   ตัวระบบมักจะเอื้อความได้เปรียบให้กับพรรคขนาดใหญ่ แต่ผลการเลือกตั้งปี 2566 กลับสะท้อนว่า

                   ระบบพรรคการเมืองไทยมีแนวโน้มเปลี่ยนจากระบบสองพรรคใหญ่แบบที่ปรากฏในช่วงพ.ศ. 2544-
                   2557 ไปสู่ระบบหลายพรรค นอกจากนั้น ผลการเลือกตั้งยังชี้ให้เห็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจคือ
                   ทั้งสองพรรคใหญ่ของไทยที่มีอิทธิพลต่อการเมืองไทยมาเกือบสองทศวรรษ คือ พรรคเพื่อไทย
                   (ไทยรักไทยและพลังประชาชนเดิม) และพรรคประชาธิปัตย์ท าผลงานได้ถดถอยกว่าเดิมอย่าง

                   มีนัยส าคัญ จากที่สองพรรคเคยได้ที่นั่งรวมกันคิดเป็นร้อยละ 75.2-94.6 (ดูตารางที่ 15) และได้
                                                                 114
                   คะแนนเสียงบัญชีรายชื่อรวมกันเท่ากับร้อยละ 72.7-93  แต่ในการเลือกตั้ง 2566 หากน าที่นั่งของ
                   พรรคเพื่อไทย (141) และประชาธิปัตย์ (25) มารวมกันจะคิดเป็นเพียงร้อยละ 33 ของสภา และ
                   คะแนนบัญชีรายชื่อของสองพรรครวมกันคิดเป็นเพียง 31.69 (ดูตารางที่ 6) เท่ากับไม่ถึงครึ่งของสภา

                   และจ านวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งประเทศ

                          ความถดถอยของสองพรรคกระแสหลักที่เป็นพรรคขนาดใหญ่ (established mainstream
                   party) ของการเมืองไทย ชี้ให้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่ส าคัญอย่างยิ่งของระบบพรรคการเมืองไทย
                   ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลกที่พรรคกระแสหลักเสื่อมความนิยมลงและ

                   คนหันไปเลือกพรรคทางเลือกใหม่ๆ มากขึ้น ซึ่งความเสื่อมความนิยมของพรรคกระแสหลักและ
                   ความนิยมที่เพิ่มสูงขึ้นของพรรคทางเลือกใหม่หรือพรรคที่เดิมเคยอยู่นอกกระแส (alternative party
                   or non-mainstream party) มาจากหลายเหตุปัจจัยขึ้นอยู่กับบริบททางสังคมและการเมืองในแต่ละ
                   ประเทศ โดยปัจจัยที่นักวิชาการใช้ในการอธิบายปรากฏการณ์นี้มีอาทิ การที่พรรคกระแสหลักเดิม
                   ไม่ว่าจะเป็นพรรคแนวซ้ายกลางหรือขวากลางหันมามีนโยบายที่คล้ายกันมากขึ้นจนประชาชนไม่รู้สึก

                   ถึงความแตกต่างระหว่างพรรคดังกล่าว, แนวโน้มที่พรรคกระแสหลักปรับและลดโทนความเข้มข้น
                   อุดมการณ์ของตนเพื่อหันมาดึงดูดประชาชนตรงกลางหรือดึงดูดเสียงจากอีกฝั่งท าให้พรรคกระแส
                   หลักท าให้เกิดความเบลอหรือความไม่ชัดเจนทางอุดมการณ์ท าให้ฐานเสียงเดิมผิดหวังและหันไป

                   สนับสนุนพรรคทางเลือกที่มีอุดมการณ์ชัดเจน (ไม่ว่าจะซ้ายหรือขวา) มากขึ้นเรื่อยๆ, บทบาทของ
                   โซเชียลมีเดียที่ท าให้พรรคทางเลือกมีโอกาสหาเสียงและสื่อสารความคิดโดยตรงกับประชาชนได้มาก
                   ขึ้นแม้จะไม่มีทรัพยากรมากมายมหาศาลเท่ากับพรรคกระแสหลัก, ปัญหาเศรษฐกิจที่นักการเมือง
                   กระแสหลักที่มีอ านาจอยู่ล้มเหลวในการจัดการ ท าให้ประชาชนเสื่อมศรัทธา, รวมถึงความล้มเหลว

                   ในการปรับตัวของพรรคกระแสหลักต่อความผันผวนทางสังคมและประเด็นปัญหาใหม่ๆ, การที่พรรค
                   กระแสหลักยึดติดกับผู้น ากลุ่มเดิมและดังนั้นจึงขาดการคัดเลือก “เลือดใหม่” คนกลุ่มใหม่ๆ เข้าสู่
                                     115
                   พรรคการเมืองของตน





                   114  ประจักษ์ ก้องกีรติ, ระบบเลือกตั้งเพื่อลดความขัดแย้งและส่งเสริมคุณภาพประชาธิปไตย, น.121.
                   115   ดูงานศึกษาที่อธิบายปรากฏการณ์นี้ได้ใน José Rama and Fernando Bértoa. “Mainstream Parties in
                   Crisis: The Antiestablishment Challenge,” Journal of Democracy, 32: 1 (Jan. 2021): 37-51; Tarik
                   Abou-Chadi, “Niche party success and mainstream party shifts: How green and radical right parties
                   differ in their impact.,” British Journal of Political Science, 46: 2 (2016): 417– 436; Jae-Jae Spoon
                   and Heile Kluver, “Party convergence and vote switching: Explaining mainstream party decline
                   across Europe,” European Journal of Political Research, 58 (2019): 1021-1042.
   103   104   105   106   107   108   109   110   111   112   113