Page 103 - 23464_Full text
P. 103

102



                          พรรคการเมืองประเภทที่สอง คือ ประเภทที่ตัวผู้สมัครแข็งแรงกว่าพรรค ซึ่งเมื่อพิจารณาจาก
                   ผลต่างคะแนนในระบบเขตและระบบบัญชีรายชื่อ พรรคในกลุ่มนี้ประกอบด้วย พรรคภูมิใจไทย

                   พลังประชารัฐ ชาติไทยพัฒนา และประชาธิปัตย์ (ดูตารางที่ 16) พรรคประเภทนี้ตรงกันข้ามกับ
                   ประเภทแรก คือ ตัวผู้สมัครช่วยโอบอุ้มพรรคให้ได้ที่นั่งในสภา เนื่องจากตัวนโยบาย จุดยืน และ
                   อัตลักษณ์ของพรรคขาดความชัดเจน และ/หรือไม่ได้มีความโดดเด่น มิสามารถบอกได้ว่าพรรคเป็น
                   ตัวแทนของกลุ่มทางสังคมหรือกลุ่มอุดมการณ์การเมืองใด ความไม่ชัดเจนนี้ส่วนหนึ่งมาจากการวาง

                   ยุทธศาสตร์ทางการเมืองของพรรคที่ต้องการอยู่สร้างภาพลักษณ์ว่ามีจุดยืนอยู่ตรงกลางระหว่างขั้ว
                   อนุรักษ์นิยมกับขั้วเสรีนิยมประชาธิปไตย เช่น พรรคภูมิใจไทยที่ประกาศว่าตนเองเป็นพรรคแนว
                   ปฏิบัตินิยม (pragmatism) ไม่ซ้าย-ไม่ขวาท างานได้กับทุกฝ่าย ซึ่งเป็นการก าหนดจุดยืนและการสร้าง
                   ภาพลักษณ์ที่คล้ายกับพรรคชาติไทยพัฒนา หรือพรรคพลังประชารัฐที่เสนอว่าตนเองเป็นพรรคที่

                                                                                                    106
                   ต้องการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ทางการเมือง และต้องการ “ก้าวข้ามความขัดแย้ง”
                   ผลปรากฏว่าการพยายามวางจุดยืนทางการเมืองแบบเป็นกลาง ในลักษณะที่ไม่อยู่ในขั้วใดขั้วหนึ่ง
                   กลายเป็นความไม่ชัดเจนและท าให้พรรคในกลุ่มกลุ่มนี้ได้รับคะแนนเสียงในระบบบัญชีรายชื่อ
                   น้อยมาก ตัวอย่างที่เด่นชัดคือ พรรคภูมิใจไทยที่ได้ ส.ส. เขตถึง 68 ที่นั่ง และได้คะแนนเสียงจาก

                   ผู้สมัครในระบบเขตรวมทั้งสิ้น 5,133,441 คะแนน แต่กลับได้คะแนนในระบบบัญชีรายชื่อเพียง
                   1,138,202 ท าให้ได้ ส.ส. บัญชีรายชื่อเพียง 3 คน จนส่งผลให้กรรมการบริหารและแกนน าพรรค
                   จ านวนหลายคนที่อยู่ในบัญชีรายชื่อต้องสอบตก ไม่มีโอกาสเข้าสภา ส่วนผลงานของพรรคพลังประชารัฐ

                   ซึ่งเป็นพรรคแกนน ารัฐบาลเดิมที่น าโดย พล.อ. ประวิตร วงศ์สุวรรณ ก็คล้ายคลึงกันกับภูมิใจไทย คือ
                   ได้คะแนนในระบบเขตสูงกว่าคะแนนบัญชีรายชื่อมาก คือ 4,186,441: 537,625 ท าให้ได้มี ส.ส. บัญชี
                   รายชื่อเพียงคนเดียว ซึ่งถ้าพิจารณาเฉพาะคะแนนบัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐถือเป็นพรรคที่มี
                   ความนิยมจากประชาชนอยู่รั้งอยู่ในล าดับที่ 7 สะท้อนความนิยมของพรรคที่อ่อนแอ

                          ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสนามเลือกตั้งส าหรับพรรคที่ตัวผู้สมัครแข็งแรงกว่าพรรค คือ

                   ตัวผู้สมัครต้องพึ่งพิงตนเองมากกว่าพึ่งพิงพรรคในการชนะเลือกตั้ง ดังที่พบว่าผู้สมัครจากพรรคภูมิใจไทย
                   พลังประชารัฐ และชาติไทยพัฒนา เน้นหาเสียงโดยน าเสนอคุณสมบัติส่วนตัวของผู้สมัครมากกว่า
                   น าเสนอนโยบายของพรรค เน้นการเมืองแบบส่วนบุคคล (personalistic politics) มากกว่าการเมือง
                   เชิงนโยบาย (programmatic politics)  และเน้นระดมทรัพยากรจากเครือข่ายการเมืองอุปถัมภ์
                                                    107
                   ส่วนบุคคล เครือญาติ หรือตระกูลการเมืองเป็นด้านหลักในการดึงดูดคะแนนเสียงจากผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
                   ผู้สมัครของพรรคเหล่านี้ที่มีฐานเสียงส่วนบุคคลเข้มแข็งตระหนักดีว่าปัจจัยที่จะท าให้พวกเขาชนะ
                   การเลือกตั้งคือ ปัจจัยส่วนบุคคลมิใช่พรรคที่พวกเขาสังกัด (ฉะนั้นนักการเมืองในพรรคเหล่านี้จะต่าง



                   106  “จุดแข็งอนุทิน ขนาดพรรคภูมิใจไทยเชื่อมทุกขั้วได้ พูด-ท าทันที,” ประชาชาติธุรกิจ, 13 มี.ค. 2566,
                   https://www.prachachat.net/politics/news-1229999; ประจักษ์ ก้องกีรติ, “ก้าว(ไม่)ข้ามความขัดแย้ง,” มติชนสุด
                   สัปดาห์, 28 เมษายน - 4 พฤษภาคม 2566 https://www.matichonweekly.com/column/article_669458.
                   107  ดูความแตกต่างของการเมืองสองประเภทนี้ใน Allen Hicken, “Clientelism,” The Annual Review of
                   Political Science, 14:   289 (2011): 310; Edward Aspinall, Meredith Weiss, Allen Hicken, and Paul
                   Hutchcroft, Mobilizing for Elections: Patronage and Political Machines in Southeast Asia (Cambridge:
                   Cambridge University Press, 2022); ในภาษาไทยดู เวียงรัฐ เนติโพธิ์, หีบบัตรกับบุญคุณ: การเมืองการเลือกตั้ง
                   และการเปลี่ยนแปลงเครือข่ายอุปถัมภ์ (เชียงใหม่: ศูนย์อาเซียนศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2558) และ เวียงรัฐ
                   เนติโพธิ์, อุปถัมภ์ค้ าใคร: การเลือกตั้งไทยกับประชาธิปไตยก้าวถอยหลัง (กรุงเทพฯ: มติชน, 2565).
   98   99   100   101   102   103   104   105   106   107   108