Page 222 - 23154_Fulltext
P. 222

217


                       ต่อมา คือ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มีวาระ 7 ปี และยังพิจารณาได้ถึง

               ความเปลี่ยนแปลงที่ไม่เพียงแต่ไต่สวนและตรวจสอบผู้ด ารงต าแหน่งทางการเมือง ตุลาการ หรือผู้ด ารงต าแหน่งใน
               องค์กรอิสระ ที่มีพฤติการณ์ร่ ารวยผิดปกติ หากแต่ยังสามารถไต่สวนผู้ที่มีพฤติกรรมขัดต่อมาตรฐานจริยธรรมอย่าง
               ร้ายแรงได้ด้วยเช่นกัน ตามมาตรา 234 และเมื่อไต่สวนเสร็จแล้วจะสามารถส่งส านวนไปยังอัยการสูงสุดเพื่อสั่งฟ้อง

               ต่อศาลฎีกาแผนกผู้ด ารงต าแหน่งทางการเมืองได้ด้วยตามมาตรา 237 (3)
                       ประการที่สี่ สภามรดกจากรัฐบาล คสช. ผ่านต าแหน่งของ “สภาการขับเคลื่อนปฏิรูปประเทศ” ตาม

               มาตรา 266 เพื่อจัดท าข้อเสนอแนะว่าด้วยการปฏิรูปประเทศ ตามมาตรา 259 หรือกล่าวได้ว่าเป็นสภาทับซ้อนกับ
               ฝ่ายนิติบัญญัติเพื่อเป็นหลักประกันในการปฏิรูปการเมืองตามกรอบที่ คสช. ต้องการให้ส าเร็จแม้ว่าจะพ้นสมัยของ

               รัฐบาล คสช. ไปแล้วก็ตาม
                       เมื่อพิจารณาผ่าน 4 ประการของความเปลี่ยนแปลงในข้างต้นแล้ว กล่าวได้ว่า ระบบรัฐสภาได้เปลี่ยนแปลง

               สู่จุดที่ไม่เป็นคุณประโยชน์นักต่อระบอบประชาธิปไตยที่ตัวแทนของประชาชนในรัฐสภา เนื่องจากกลไกที่เสริมเข้า
               มาให้มีความสัมพันธ์เชิงอ านาจที่ควบคุมครอบง าต่อสภาผู้แทนราษฎร ทั้ง 3 ประการ ได้แก่ ประการแรกคือ

               วุฒิสภาแต่งตั้งและครองอ านาจน าในกระบวนการนิติบัญญัติ ประการที่สองคือ ศาลรัฐธรรมนูญที่สามารถให้โทษ
               ผ่านอ านาจวินิจฉัยที่มีความเป็นการเมืองทั้งในกระบวนการรับเรื่องตลอดจนผลลัพธ์การวินิจฉัย และองค์กรอิสระที่

               สามารถใช้อ านาจตามรัฐธรรมนูญในการขอตรวจสอบหรือไต่สวนเพื่อส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ และศาลฎีกา
               แผนกผู้ด ารงต าแหน่งทางการเมือง ให้ท าการวินิจฉัยความผิด รวมถึงประการที่สาม สภาการขับเคลื่อนปฏิรูป
               ประเทศที่จะมาเป็นกลไกครอบเพื่อบังคับให้รัฐสภาตอบสนองความต้องการปฏิรูปการเมืองของ คสช.ด้วย ยังไม่

               รวมถึงกลไกการได้มาซึ่ง ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อที่เปลี่ยนแปลงที่มาให้ตัดขาดจากการเลือกด้วยการลงคะแนนใน
               บัตรเลือกตั้งโดยตรงจากมือของประชาชน สู่การค านวณสูตรคณิตศาสตร์การจัดสรร ส.ส. บัญชีรายชื่อทั้ง 150 คน

               ภายใต้ กกต. อีกด้วย


                       ระบบรัฐสภาภายใต้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 จึงถูกน ามาพิจารณาต่อไปได้ว่า แม้ว่ารัฐธรรมนูญจะไม่ได้
               จ ากัดอ านาจของสภาผู้แทนราษฎรในกระบวนการนิติบัญญัติในรัฐสภาโดยตรง หากแต่เป็นการก าหนดกลไก

               อ านาจในความสัมพันธ์เชิงอ านาจเพื่อให้มีตัวแสดงการครอบง าพฤติกรรมการตัดสินใจของสภาผู้แทนราษฎร ในแง่
               ของอุดมคติแล้ว การตรวจสอบฝ่ายการเมืองมีประโยชน์ต่อความโปร่งใสทางการเมืองส าหรับผู้สมาทานภาพอุดม
               คติของเสรีนิยมที่สังคมต้องจ ากัดอ านาจรัฐไม่ให้รุกล้ าพรมแดนเสรีภาพประชาชน ทว่าในทางกลับกัน พฤติกรรม

               ความเป็นเหตุเป็นผลของสภาผู้แทนราษฎรก็ย่อมเปลี่ยนแปลงไป หากมีความพยายามแสวงทรัพยากรเพื่อน ามา
               กระจายทรัพยากรให้แก่ประชาชนผ่านกลไกเสนอร่างกฎหมายกลับกลายเป็นข้อจ ากัดที่จะต้องถูกวุฒิสภาหรือ

               องค์กรอิสระตรวจสอบ การที่สภาผู้แทนราษฎรไม่ท าการเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างสุ่มเสี่ยงหรือมีพฤติกรรมทาง
               การเมืองคล้อยตามระบบราชการย่อมสร้างความปลอดภัยให้อยู่ครบวาระได้มากกว่า เช่นนี้แล้ว รัฐธรรมนูญ พ.ศ.

               2560 จึงมีผลส าคัญในการก ากับพฤติกรรมความเป็นเหตุเป็นผลของปัจเจกของสมาชิกรัฐสภาให้มีส่วนร่วม
               กระบวนการนิติบัญญัติที่ท าให้วุฒิสภาหรือระบบราชการรู้สึกสั่นคลอนให้น้อยที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจ

               ปรากฎตั้งแต่ระดับสมาชิกรัฐสภาที่เป็นปัจเจก ไปจนถึงการวินิจฉัยยุบพรรคการเมืองที่เปนการบั่นทอนความเป็น
   217   218   219   220   221   222   223   224   225   226   227