Page 97 - 22825_Fulltext
P. 97
2-57
4. ความรุนแรงที่ก่อให้เกิดความสูญเสียหรือการละเลย/ทอดทิ้ง (deprivation or neglect) หมายถึง
การไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ และคุ้มครองอย่างเหมาะสมเพียงพอ รวมถึงการทอดทิ้งทางกาย ไม่เลี้ยงดู (ขจร
จิต บุนนาค. (ม.ป.ป.))
สรุปได้ว่าการก่อการร้าย หมายถึง การกระท าการใด ๆ หรือขู่เข็ญว่าจะกระท า โดยใช้ก าลังประทุษร้าย
หรือใช้วิธีอื่นใด เพื่อบังคับหรือข่มขู่รัฐบาลให้กระท าการใด ๆ หรือเพื่อให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว โดยมี
มูลเหตุจูงใจทางการเมือง ศาสนา อุดมการณ์หรือลัทธิความเชื่อของตน (อัศวิน ศุกระศร, 2549) ดังนั้น จากการ
วิเคราะห์แนวคิดมุมมองความรุนแรง หมายถึง การมองศักยภาพหรือความสามารถที่มีอยู่กับความจริงที่เกิดขึ้น
มีความแตกต่างกัน หากความจริงที่เกิดขึ้นของทั้งสองฝ่ายเป็นมายาสร้างขึ้นมาเพื่อแยกความเป็นพวกเรากับ
ผู้ อื่ น คิ ด จ ะ ใ ช้ ค ว า ม รุ น แ ร ง แ ก้ ปั ญ ห า ก ด ใ ห้ ผู้ อื่ น
อยู่ภายใต้อ านาจของพวกเรา พฤติกรรมและความคิดดังกล่าวจะน าไปสู่ความรุนแรงทั้งทางร่างกาย วาจา และ
จิตใจ เป็นผลให้เกิดความเสียหายทางทรัพย์สินและความเจริญ
ส าหรับมุมมองต่อระดับความรุนแรงในประเทศ พบว่า ประชาชนมองสาเหตุความรุนแรง
ของการเมืองไทยเกิดจากการแย่งชิงอ านาจและผลประโยชน์ทางการเมือง รองลงมาเป็นอุดมการณ์/ความเชื่อที่
แตกต่างกัน ขณะเดียวกันก็มองว่ากระบวนการยุติธรรมไม่เป็นธรรม และการบริหารประเทศเป็นแบบรวมศูนย์
อ านาจ/ขาดการตรวจสอบ ทั้งนี้การรัฐประหารและการเลือกตั้งที่มีการคอร์รัปชันประชาชนระบุว่าเป็นหนึ่งใน
สาเหตุด้วยเช่นกัน ส านักงานสถิติแห่งชาติ (2563) สอดคล้องกับงานของ ธีร์ดนัย กัปโกและคณะ (2561)
พบว่าความรุนแรงทางการเมืองที่ผ่านมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ความรุนแรงทางการเมืองนั้นเกิดขึ้น
ตลอดเวลาในรูปแบบต่างๆ อาทิเช่น สงคราม การก่อกบฏ การก่อจลาจล การลอบสังหาร การปฏิวัติ การ
รัฐประหาร การก่อการร้าย หรือแม้กระทั่งการกดขี่ทางการเมืองที่เกิดกับเรา กล่าวได้ว่า ปัญหาความรุนแรง
ทางการเมืองกลายเป็นปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบันเรื่องความขัดแย้งทางการเมืองในกรณีของ
เสื้อเหลือง-เสื้อแดง ซึ่งมันมีรากฐาน สาเหตุที่สลับซับซ้อนและน ามาสู่ความรุนแรงทางการเมืองหลายครั้ง จน
ที่สุดกลายเป็นโศกนาฏกรรมกลางเมืองเมื่อผู้คนกว่า 90 คนต้องเสียชีวิต
จากปัญหาการมองความรุนแรงทางการเมืองระดับประเทศที่ผ่านมา พบงาน
ในเชิงข้อเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาความรุนแรงทางการเมืองของไทย ชี้ให้เห็นถึงสาเหตุส าคัญของ
ความรุนแรง ความต้องการอ านาจและผลประโยชน์ วิธีการจัดการความรุนแรงจึงต้องมาจากการบูรณาการไป
พร้อมกับด้านพฤติกรรมในการจัดการความรุนแรง คือ การเอาชนะ ด้านความไว้วางใจในตัวบุคคลควรน าสันติวิธีเข้า
มาใช้ ยึดหลักนิติธรรม นิติรัฐ ความยุติธรรม รวมถึงคุณธรรมและจริยธรรมของผู้ที่เกี่ยวข้องในทุก ฝ่าย และยัง
เสนออีกว่าการปฏิวัติจะหยุดได้ถ้ามีการปฏิรูปขนาดใหญ่ แต่ต้องเป็นการปฏิรูปอย่างแท้จริง เข้ากับรูปแบบการ
ปฏิวัติพลิกแผ่นดิน โดยไม่ต้องใช้ความรุนแรงแต่ใช้การกุมอ านาจรัฐและความมุ่งมั่นทางการเมืองด้วยการ
สนับสนุนจากประชาชน
สถานการณ์มุมมองความรุนแรงในชุมชนตามรายงานของสถาบันพระปกเกล้า และส านักงานสถิติ
แห่งชาติ (2562) พบว่า ประชาชนมีทัศนะคติต่อการมองชุมชนว่ามีการแบ่งขั้วแยกข้าง
จากปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองเป็นส่วนน้อย และมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่เคยมีประสบการณ์ย้ายที่อยู่/
ย้ายออกจากบ้าน เนื่องจากเกิดความไม่สงบของบ้านเมือง หรือเกิดความรุนแรงในชุมชน สะท้อนให้เห็นว่า
ปร ะช าช น ส่ ว น น้ อยมีมุมมอง คว า มรุ น แร งใน ชุ มช น ต่ อก าร แบ่ งขั้ว อ าน าจ ที่รั บ รู้ ไ ด้
จากความขัดแย้งทางการเมืองจริง สอดคล้องกับงานของณัฐกร วิทิตานนท์ (2559) ที่ให้เหตุผลว่าเมื่อ
เกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งที่อาจจะเป็นตัวแปรในการน าไปสู่ความรุนแรงขึ้นในชุมชน