Page 79 - 22353_Fulltext
P. 79

4) ผู้สมัครให้ความสำคัญกับการหาเสียงเชิงสร้างสรรค์ไม่โจมตีฝ่ายตรงข้าม


                       ผลการศึกษาได้ชี้ให้เห็นว่ารูปแบบการหาเสียงของผู้สมัครเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม การโจมตีเรื่อง

               ส่วนตัวของผู้สมัครคนอื่นลดลงไปอย่างมาก แม้ว่าจะไม่ได้หมดลงไปในทันที โดยการสัมภาษณ์ชี้ให้เห็นว่าการ
               หาเสียงของผู้สมัครนั้นไม่ได้มีลักษณะของการโจมตีหรือพาดพิงผู้อื่นเช่นแต่ก่อน โดยสิ่งที่เห็นเพิ่มขึ้นคือผู้สมัคร

               เน้นกล่าวถึงสโลแกนของตนเอง เรื่องราวของตนเอง และนโยบายของตนเองเป็นหลัก ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะ

               รูปแบบของการหาเสียงที่ผู้สมัครใช้รถแห่ในการหาเสียงกันอย่างมาก ทำให้เนื้อหาที่เผยแพร่ผ่านรถแห่เป็นไป

               ได้อย่างจำกัด แตกต่างจากการจัดเวทีปราศรัยซึ่งมีแนวโน้มที่จะพาดพิงกันได้มากกว่า รูปแบบการหาเสียงที่ใช้

               รถแห่มากขึ้นนี้สัมพันธ์กับการหาเสียงที่โจมตีกันลงดลง แน่นอนว่าสุดท้ายการแก้ไขปัญหาซื้อสิทธิขายเสียงให้

               หมดไปไม่อาจกระทำได้ผ่านการจัดเวทีเสวนาเพียงครั้งหรือสองครั้ง ทว่าผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าการแข่งขัน

               ของผู้สมัครเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ลักษณะของการโจมตีผู้สมัครคนอื่นลดน้อยลงไปอย่างมาก โดยเฉพาะ
               อย่างยิ่งในการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด ซึ่งส่วนหนึ่งมีความสัมพันธ์กับรูปแบบการหาเสียงที่ใช้

               รถแห่เพิ่มมากขึ้น จึงทำให้เนื้อหาที่บันทึกไว้เป็นไปอย่างจำกัดมุ่งเน้นนำเสนอไปที่สโลแกนของผู้สมัครและ

               นโยบายเป็นหลัก ซึ่งต่างจากการจัดเวทีปราศรัยซึ่งมีโอกาสที่ผู้สมัครจะกล่าวพาดพิงหรือโจมตีผู้สมัครคนอื่นได้

               ผลการศึกษานี้จึงชี้ให้เห็นว่าบางทีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการหาเสียงอาจทำให้ความรุนแรงในการหาเสียง

               ลดลงได้


                       5) ยอมรับผลการเลือกตั้ง

                       ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าภายหลังการเลือกตั้งผู้สมัครและผู้มีสิทธิเลือกตั้งยอมรับผลการเลือกตั้ง ไม่มี

               การคุกคามข่มขู่ผู้สมัครหรือผู้สนับสนุนผู้สมัครทั้งฝ่ายที่ชนะและฝ่ายที่แพ้ โดยผู้สมัครนายก อบจ. มีการ

               ประกาศแสดงความยินดีกับผู้ที่ชนะการเลืกอตั้งผ่านเฟสบุ๊คของตนเองอย่างเป็นทางการ ซึ่งแสดงให้เห็นถึง

               บรรยากาศของการยอมรับผลการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นเป้าหมายที่สำคัญประการหนึ่งในการดำเนินโครงการเลือกตั้ง
               สมานฉันท์และไม่ซื้อสิทธิขายเสียง นอกจากนั้น ข้อมูลจากการสำรวจพบว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งร้อยละ 97 เชื่อว่า

               โครงการนี้สามารถส่งเสริมความสมานฉันท์ในชุมชนได้ ด้านผู้สมัครก็เช่นเดียวกันมองว่าสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป

               จากการดำเนินโครงการนี้ที่เห็นได้ชัดเมื่อก็คือความสมานฉันท์การยอมรับซึ่งกันและกัน การรับฟังความเห็น

               ต่างและการให้เกียรติกันระหว่างผู้สมัครและผู้สนับสนุนแต่ละฝ่าย แม้ว่าสุดท้ายแล้วการซื้อสิทธิขายเสียงอาจ

               ไม่ได้หมดไปในการรณรงค์เพียงครั้งหรือสองครั้งแต่ความสมานฉันท์นั้นถูกกระตุ้นให้เกิดขึ้นได้ง่ายกว่า


                       ข้อค้นพบนี้ จึงเป็นที่น่าสนใจว่า หากผู้สนใจนำโครงการนี้ไปดำเนินการต่ออาจจะต้องพิจารณาเรื่อง
               การรณรงค์เลือกตั้งแบบสมานฉันท์ ไม่เน้นการแข่งขันรุนแรงและการแข่งขันอย่างสร้างสรรค์ไม่โจมตีให้มากขึ้น

               เพราะเป็นประเด็นที่ทั้งผู้สมัครและผู้มีสิทธิเลือกตั้งเห็นว่ามีความสำคัญอย่างมากเพราะสุดท้ายภายหลังการ

               เลือกตั้งพวกเขาก็ต้องอยู่ร่วมกันในชุมชนเดียวกันอยู่ดีทั้งยังส่งเสริมได้ง่ายกว่าการ “ห้าม” ไม่ให้มีการจ่ายหรือ




                                                                                                       78
   74   75   76   77   78   79   80   81   82   83   84