Page 100 - kpi22237
P. 100
94
จากบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญดังกล่าวจึงได้มีการตรากฎหมายพรรคการเมืองขึ้นมาฉบับหนึ่ง คือ
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองพ.ศ. 2560 เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการก าหนดวิธีการ
จัดตั้งพรรคการเมืองและการด าเนินกิจการของพรรคการเมืองให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
(“รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560” (6 เมษายน 2560). ราชกิจจานุเบกษา, เล่มที่ 134 ตอน
ที่ 40 ก., น. 12. )
การจัดตั้งสาขาพรรคการเมืองถือเป็นเงื่อนไขส าคัญประการหนึ่งที่พรรคการเมืองต้องด าเนินการ
โดยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 33 ได้ก าหนดว่าภายใน 1 ปี
นับแต่วันที่นายทะเบียนรับจดทะเบียน พรรคการเมืองต้องด าเนินการจัดให้มีสาขาพรรคการเมืองในแต่ละภาค
ตามบัญชีรายชื่อภาคและจังหวัดที่คณะกรรมการก าหนดอย่างน้อยภาคละ 1 สาขา โดยสาขาพรรคการเมืองแต่ละ
สาขาต้องมีสมาชิกที่มีภูมิล าเนาอยู่ในเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบของสาขานั้นตั้งแต่ 500 คนขึ้นไป และเมื่อจัดตั้งสาขา
พรรคการเมืองขึ้นในภาคใดแล้วให้หัวหน้าพรรคการเมืองมีหนังสือแจ้งการจัดตั้งสาขาต่อนายทะเบียนภายใน 15
วันนับแต่วันที่จัดตั้งสาขานั้นตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่นายทะเบียนก าหนดโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ
และประกาศให้ประชาชนทราบเป็นการทั่วไปด้วย หนังสือแจ้งการจัดตั้งสาขาพรรคการเมือง ต้องมีรายการตามที่
นายทะเบียนก าหนด ซึ่งอย่างน้อยต้องมีแผนผังแสดงที่ตั้งสาขาพรรคการเมือง ซึ่งประกอบด้วยหัวหน้า
และกรรมการสาขาพรรคการเมืองตามจ านวนที่ก าหนดในข้อบังคับซึ่งต้องไม่น้อยกว่า 7 คน ในกรณีที่มีการ
เปลี่ยนแปลงที่ตั้งสาขาพรรคการเมืองหรือคณะกรรมการสาขาพรรคการเมือง หัวหน้าพรรคการเมือง ต้องมีหนังสือ
แจ้งให้นายทะเบียนทราบภายใน 15 วันนับแต่วันที่มีการเปลี่ยนแปลงตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่นายทะเบียน
ก าหนดโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการและประกาศให้ประชาชนทราบเป็นการทั่วไปด้วย ทั้งนี้ หากภายหลัง
ที่ได้จัดตั้งสาขาพรรคการเมืองแล้วสาขาพรรคการเมืองใดไม่ด าเนินการตามกระบวนการดังกล่าวข้างต้น
นายทะเบียนจะมีหนังสือแจ้งให้พรรคการเมืองนั้นด าเนินการให้ถูกต้องภายในระยะเวลาที่นายทะเบียนก าหนด
หากพรรคการเมืองใดไม่ด าเนินการหรือด าเนินการแล้วไม่ถูกต้อง ให้สาขาพรรคการเมืองนั้นสิ้นสภาพไป
(พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560. (2560, 7 ตุลาคม). ราชกิจจานุเบกษา.
เล่ม 134 ตอนที่ 105 ก. หน้า 1-41.)
อย่างไรก็ดี การจัดตั้งพรรคการเมืองของไทยในอดีตนั้นจะเริ่มต้นจากฐานคิดนโยบายจากบนสู่ล่าง (top -
down approach) เริ่มจากการรวมตัวของบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ที่มีอุดมการณ์ในทิศทางเดียวกัน
จ านวน 4–5 คน จากนั้นท าการรวบรวมสมาชิกที่รู้จักมาเข้าร่วมให้ครบตามจ านวนที่กฎหมายก าหนด แล้วจึงจด
ทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นเพื่อสนับสนุนผู้น าคนใดคนหนึ่ง จะเห็นได้ว่าการจัดตั้งพรรคการเมือง
ในอดีตนั้น กฎหมายเปิดโอกาสให้ตั้งพรรคการเมืองโดยง่ายเพื่อให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น
แต่ในทางปฏิบัตินั้น พรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นล้วนเป็นพรรคการเมืองของกลุ่มผลประโยชน์หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
เช่น กลุ่มชนชั้นน า กลุ่มนายทุน และกลุ่มข้าราชการ เป็นต้น จากประเด็นดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ในบริบทความเป็น
จริง พรรคการเมืองที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นพรรคที่มีรูปแบบเป็นมวลชนที่มีประชาชนเป็นผู้ร่วมกันจัดตั้งแต่อย่างใด