Page 104 - kpi22237
P. 104

98


                          สุดท้ายในการพิจารณาลงมติคัดเลือกบุคคลในการลงรับสมัครเลือกตั้งดังเดิม มากกว่าการใช้เสียงของ

                          ประชาชน/สมาชิกพรรคเป็นตัวตัดสิน
                       3.) ความเท่าเทียมกันระหว่างชายและหญิง ในการคัดเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
                          แบบบัญชีรายชื่อ ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 90 (3)

                          จะก าหนดให้ในการจัดท าบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคการเมือง
                          แต่ละพรรค ต้องค านึงถึงผู้สมัครรับเลือกตั้งจากภูมิภาคต่าง ๆ และความเท่าเทียมกันระหว่างชาย

                          และหญิงด้วย แต่การที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา
                          51 ได้ก าหนดให้การสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ

                          ให้คณะกรรมการสรรหาจัดท าบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้ง โดยเรียงล าดับตามผลรวมของคะแนน
                          ผู้สมัครที่ได้รับจากสาขาพรรคการเมืองหรือตัวแทนพรรคการเมืองประจ าจังหวัดจนครบจ านวน ท าให้

                          คณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองไม่สามารถใช้ดุลพินิจพิจารณาและจัดท าบัญชีรายชื่อผู้สมัครโดย
                          ค านึงถึงผู้สมัครรับเลือกตั้งจากภูมิภาคต่าง ๆ และความเท่าเทียมกันระหว่างชายและหญิงได้
                          เนื่องจากการจัดท าบัญชีรายชื่อต้องจัดเรียงล าดับตามผลคะแนนที่บุคคลนั้นได้รับเลือก ต่างจากเมื่อ

                          ก่อนที่คณะกรรมการบริหารพรรคจะเป็นคนที่พิจารณาในเรื่องความรู้ความสามารถและ
                          ความเหมาะสมของผู้สมัคร โดยค านึงถึงผู้สมัครรับเลือกตั้งจากภูมิภาคต่างๆ และความเท่าเทียมกัน

                          ระหว่างชาย และหญิงได้ ซึ่งเป็นเรื่องของ “ความสมัครใจ” ของพรรคการเมือง มากกว่าประเด็นเรื่อง
                          “โควตา” ให้กับเพศหญิงเพื่อเข้าสู่การเมือง


                       จากการวิเคราะห์ถึงบทบัญญัติกฎหมายต่างๆ ในประเทศไทยเกี่ยวกับปัญหา และอุปสรรคในเชิง
               "กฎหมาย" ที่ท าให้ ระบบการเลือกตั้งขั้นต้น (primary vote) ไม่สามารถน าไปปฏิบัติได้จริงนั้น จะพบปัญหาหลัก
               อยู่สองส่วนด้วยกัน คือ ปัญหาจากโครงสร้างพรรคการเมือง และปัญหาจากกระบวนการคัดเลือกผู้สมัคร

               รับเลือกตั้ง โดยระบบการคัดเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคการเมืองไทยนั้นล้วนอยู่ภายใต้อ านาจตัดสินใจหรือ
               การครอบง าของหัวหน้าพรรคการเมือง และคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองตลอดมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง

               ในสถานการณ์ปัจจุบันตัวบทบัญญัติของกฎหมายไม่ได้มีผลบังคับใช้ จึงเปิดโอกาสให้พรรคการเมืองสามารถ
               ก าหนดรูปแบบ วิธีการ และหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการคัดเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งได้เอง

                       แม้ในอดีตจะมีพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 ที่จะมีการก าหนด
               วิธีการคัดเลือกผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไว้ใน มาตรา 38 และการคัดเลือกผู้สมัคร

               รับเลือกตั้งโดยการออกเสียงในที่ประชุมใหญ่พรรคการเมืองตาม มาตรา 39 ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่เปิดโอกาส
               ให้สมาชิกของพรรคการเมืองในระดับท้องถิ่นหรือสาขาพรรคการเมืองได้เข้ามามีส่วนร่วมในการเสนอชื่อบุคคลเพื่อ
               ลงรับสมัครเลือกตั้งในวิธีการแรก สุดท้ายแล้วอ านาจในการควบคุมในเชิงโครงสร้างพรรคการเมืองในการคัดเลือก

               บุคคลเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งก็ยังเป็น หัวหน้าพรรคการเมือง และคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองตามเดิม
               โดยที่ไม่สามารถโต้แย้งได้ตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย
   99   100   101   102   103   104   105   106   107   108   109