Page 107 - kpi22237
P. 107
101
ทั้งนี้ เมื่อน ากรอบความคิดรวบยอด (conceptual framework) ของงานวิจัยนี้มาเป็นฐานในการคิดเรื่อง
การพัฒนาระบบการสรรหาผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ได้แก่ 1) ผู้เข้ารับการสรรหา (candidacy) ว่าใครบ้างที่สามารถ
สมัครเข้ารับการสรรหา 2) ผู้ด าเนินการสรรหา (party selectorates) ว่าใครบ้างที่มีอ านาจ (authority) ที่จะ
เลือกผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งได้ 3) การกระจายอ านาจในการสรรหา (decentralization) ว่าอ านาจถูกกระจายไป
มากน้อยแค่ไหนในกระบวนการสรรหาผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง และ 4) ระบบการเลือกหรือสรรหา
(voting/appointment system) ว่ามีการลงคะแนนเลือกอย่างไรนั้น การจะท าให้กระบวนการสรรหาผู้ลงสมัคร
รับเลือกตั้งให้เป็นกระบวนการที่ “นับรวมทุกคน” (inclusive) เพื่อจะพัฒนาไปสู่หลักการประชาธิปไตยภายใน
พรรคการเมือง (intraparty democracy) ได้ คณะผู้วิจัยมีข้อเสนอการพัฒนาตัวแบบดังกล่าว ดังนี้
1. ผู้เข้ารับการสรรหา (candidacy) คณะผู้วิจัยมองว่าการก าหนดให้สมาชิกพรรคการเมืองเป็นผู้ที่
สามารถเข้ารับการสรรหาผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งได้เท่านั้น ก็ยังคงเป็นเงื่อนไขพื้นฐานที่ส าคัญและจ าเป็น
เพราะผู้ที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคการเมืองต้องมีความผูกพันและร่วมด าเนินกิจกรรมกับ
พรรคการเมืองนั้นๆ มาก่อนในช่วงเวลาหนึ่งก่อนที่จะสามารถลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคได้
2. ผู้ด าเนินการสรรหา (party selectorates) คณะผู้วิจัยมองว่า การจะท าให้กระบวนการสรรหา
ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคการเมืองเป็นประชาธิปไตยได้ ผู้ด าเนินการสรรหาผู้ลงสมัคร
รับเลือกตั้งก็ควรต้องมีสมาชิกพรรคการเมืองเป็นองค์ประกอบส าคัญด้วย อย่างไรก็ตาม การจะเปิด
กว้างให้สาธารณชนทั่วไปที่ไม่ใช่สมาชิกพรรคการเมืองสามารถเลือกผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งด้วย
ก็สามารถท าได้เช่นกัน แต่ต้องมีการก าหนดกลไกให้ชัดเจนว่ามีสัดส่วนน้ าหนัก หรือการด าเนินการ
อย่างไรบ้าง และอีกส่วนหนึ่งคือกรรมการบริหารพรรค การจะท าให้กระบวนการสรรหาผู้ลงสมัคร
รับเลือกตั้งเป็นประชาธิปไตยได้ อ านาจในการตัดสินใจของกรรมการบริหารพรรคควรต้องลดลงด้วย
3. การกระจายอ านาจการสรรหา (decentralization) คณะผู้วิจัยมองว่า อ านาจในการสรรหาผู้ลงสมัคร
รับเลือกตั้ง ไม่ควรให้น้ าหนักแก่กรรมการบริหารพรรคในขั้นสุดท้ายมากเกินไป แต่ควรเพิ่มน้ าหนัก หรือ
สร้างกลไกการต่อรองระหว่างเขตพื้นที่กับกรรมการบริหารพรรค ให้การเลือกตั้งขั้นต้นจากเขตพื้นที่
มีสัดส่วนน้ าหนักต่อการตัดสินใจของพรรคการเมืองมากขึ้น แทนที่จะเป็นแต่เพียงการเสนอชื่อ
(nomination) จากระดับพื้นที่เท่านั้น และเป็นอ านาจขั้นสุดท้ายของกรรมการบริหารพรรคในการ
ตัดสินใจอย่างเดียว
4. ระบบการเลือกหรือสรรหา (Voting/appointment system) คณะผู้วิจัยมองว่า ระบบการเลือก
หรือสรรหาผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง จะสัมพันธ์กับเรื่องผู้ด าเนินการสรรหา (party selectorates)
และการกระจายอ านาจในการสรรหา (decentralization) ด้วย การจะพัฒนาระบบการสรรหา
ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งให้เป็นประชาธิปไตย หลักการส าคัญคือต้องไม่ให้กลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่งมี
อ านาจในการตัดสินใจเหนือกลุ่มอื่นๆ มากเกินไป ฉะนั้น หากมีการจัดวางและกระจายอ านาจในการ
สรรหาไปสู่สมาชิกพรรคการเมือง หรือสาธารณชนมากขึ้น แทนที่จะเป็นอ านาจของกรรมการบริหาร