Page 28 - kpi20902
P. 28

27



                               จอห์น รอลส์ (John Rawls) นักปรัชญาการเมืองผู้ทรงอิทธิพลที่สุดหลังสงครามโลกครั งที่

                 สอง ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของโนซิค (และของสายลิเบอทาเรียนโดยรวม) ซึ่งเชิดชูเสรีภาพของปัจเจกมากกว่า

                 ความยุติธรรมในสังคมมาก รอลส์น้าเสนอในหนังสือเรื่อง A Theory of Justice (ทฤษฎีความยุติธรรม) ว่า

                 คนทุกคนควร “แบกรับโชคชะตาร่วมกัน” ด้วยการช่วยเหลือคนที่ยากจนที่สุดและเสียเปรียบที่สุดในสังคม

                 เพราะทุกคนน่าจะเห็นพ้องต้องกันได้ว่า ถ้าบังเอิญตัวเองเกิดมาเป็นคนจน ก็จะเดือดร้อนมากและอยากให้รัฐ

                 ยื่นมือช่วย อย่างไรก็ตาม การที่รอลส์เห็นด้วยกับการช่วยเหลือคนที่จนที่สุด ไม่ได้แปลว่าเขาคิดว่าความเหลื่อม

                 ล ้า (ช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวย) เป็น “ปัญหา” ที่จ้าเป็นจะต้องได้รับการแก้ไข อันที่จริงรอลส์กล่าวว่า

                 ภาวะความเหลื่อมล ้าด้านความมั่งคั่งอาจ “ชอบธรรม” ก็ได้ ถ้าหากมันเป็นภาวะที่ปรับปรุงสังคมโดยรวม

                 รวมถึงชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่จนที่สุดในสังคมด้วย


                               จอห์น รอลส์  ไม่เคยแจกแจงว่าทฤษฎีความยุติธรรมของเขาแปลว่า สังคมควรจัดการกับ

                 ความเหลื่อมล ้าหรือไม่อย่างไร นักคิดบางคนตีความว่าข้อเสนอดังกล่าวของรอลส์สนับสนุนระบบทุนนิยมเสรี

                 เนื่องจากตามทฤษฎี แม้แต่สมาชิกที่จนที่สุดในสังคมก็ยังได้รับประโยชน์จากนวัตกรรมและความเจริญที่เกิด

                 ในระบบ แต่นักคิดคนอื่นเชื่อว่ามีเพียง “รัฐสวัสดิการ” ที่เข้มแข็งเท่านั นที่จะท้าให้อุดมคติของรอลส์เป็นจริงได้

                 ท้าให้แนวคิดของ จอห์น รอลส์ อาจจะเป็นเรื่องที่ยากที่จะน้าไปใช้ได้กับทุกพื นที่ที่มีบริบทที่แตกต่างกัน

                 โดยเฉพาะรัฐสวัสดิการ รัฐที่มีอ้านาจในการปกครองอาจจะต้องมีความเข้มแข็งในด้านเศรษฐกิจอย่างมาก

                 ไม่อย่างนั นจะกลายเป็นภาระของรัฐที่จะต้องแบกรับค่าใช้จ่ายเป็นจ้านวนมากเกินไปจนน้าไปสู่ความล่มสลาย

                 ของรัฐในที่สุด


                               มิลตัน ฟรีดแมน (Milton Friedman) นักเศรษฐศาสตร์ส้านักเสรีนิยมคลาสสิก มองว่ารัฐ

                 โดยธรรมชาตินั นด้อยประสิทธิภาพกว่าเอกชนและมักจะลุแก่อ้านาจหรือใช้อ้านาจในการควบคุม ดังนั น

                 จึงเชื่อว่าหากรัฐท้าอะไรก็ตามเพื่อพยายามสร้างความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจ เมื่อนั นเสรีภาพทางการเมือง

                 ของผู้คนก็จะถูกบั่นทอน เขากล่าวอย่างโด่งดังว่าสังคมที่ก้าหนดความเท่าเทียมเป็นเป้าหมายเหนือเสรีภาพ

                 จะไม่มีทั งสองอย่าง สังคมที่ตั งเป้าหมายที่เสรีภาพก่อนความเท่าเทียมจะมีทั งสองอย่างค่อนข้างสูง

                               ซึ่งถ้าหากจะพิจารณาจากแนวคิดของส้านักเสรีนิยมเหล่านี จะพบว่า การให้ความส้าคัญกับ


                 อิสรภาพที่มากจนเกินไป เนื่องจากคิดว่าอิสรภาพจะน้าไปสู่การสร้างความเท่าเทียมได้เพราะเห็นประโยชน์และ
                 ศักยภาพของเอกชนมากกว่ารัฐ ซึ่งเท่าที่ผ่านมา ตัวอย่างเช่นในประเทศไทย จะพบว่ารัฐไม่ได้ใช้อ้านาจควบคุม


                 เอกชนเพื่อให้เกิดประโยชน์กับประชากรเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการร่วมมือกันที่ใช้อ้านาจรัฐให้เกิดการ
                 เอื ออ้านวยกับเอกชน น้าไปสู่การสร้างความเหลื่อมล ้าที่ก่อให้เกิดช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนเพิ่มมาก


                 ยิ่งขึ นมากกว่า
   23   24   25   26   27   28   29   30   31   32   33