Page 26 - kpi20902
P. 26
25
วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร (2561) ราชบัณฑิตและอาจารย์ ด้านเศรษฐศาสตร์และวรรณกรรม ได้ให้
ความหมายของค้าว่า “ความเหลื่อมล ้า”(inequality) ไว้ว่าคือ ความไม่เท่าเทียมกัน ซึ่งเนื่องจากความไม่เท่าเทียม
กันปรากฏในทุกๆ เรื่อง ในทุกๆ พื นที่ ในทุกๆ ภาคส่วน และในทุกๆ กาลเวลา ดังนั นจึงเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่อาจ
จะขจัดให้หมดสิ นไปได้
ฐิติกาญจน์ แสงศิริ (มปป.) ตุลาการด้านกฎหมายผู้มีความสามารถ ได้ให้ความหมายความ
เหลื่อมล ้าในสังคมในบทความเรื่อง “กฎหมายกับความเหลื่อมล ้าทางสังคม” ไว้ว่า หมายถึง ความไม่เท่าเทียม
กันระหว่างบุคคลในสังคมในเรื่องของการได้รับโอกาสในการเข้าถึงสิทธิด้านต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น เศรษฐกิจ
การเมือง การศึกษา เป็นต้น สังคมไทยเป็นสังคมที่มีความเหลื่อมล ้าทางสังคมสูงมากโดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ
ความแตกต่างระหว่างกลุ่มคนร่้ารวยกับคนที่ยากจนมีอัตราที่สูงเป็นสิบเท่า
จากการให้ความหมายค้าว่า “ความเหลื่อมล ้า” (inequality) จากนักวิชาการหลายท่านหลากหลาย
อาชีพสามารถสรุปใจความส้าคัญได้ไม่แตกต่างกันว่า ความเหลื่อมล ้า ก็คือความไม่เท่าเทียมกันทางสังคม ไม่ว่าจะ
เรื่องการกระจายตัวของรายได้ การเข้าถึงแหล่งทุน การเข้าถึงสวัสดิการ การเข้าถึงการศึกษา สิทธิการเข้าถึง
ทรัพยากร เป็นต้น ซึ่งปรากฏการณ์ทั งหมดล้วนส่งผลกระทบให้เกิดความยากจน และความยุติธรรมของคน
ในสังคม จะอย่างไรก็ตามปัญหาความเหลื่อมล ้าทางสังคมในด้านต่างๆ ที่เกิดขึ นมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกัน
กล่าวคือ ด้านหนึ่งสัมพันธ์กับอีกด้านหนึ่งหรือด้านอื่นๆ หลายด้าน แต่ประเด็นเรื่องความเหลื่อมล ้าทางด้าน
เศรษฐกิจมักเป็นฐาน หรืออยู่ปะปนหลอมรวมไปกับปัญหาความเหลื่อมล ้าทางด้านอื่นๆ ด้วยเสมอ งานวิจัยครั งนี
จึงจะมุ่งเน้นไปที่การเข้าใจประเด็นไปที่ความเหลื่อมล ้าหรือความไม่เท่าเทียมกันทางสังคม โดยเริ่มจากความ
เหลื่อมล ้าหรือความไม่เท่าเทียมกันทางด้านเศรษฐกิจเป็นฐาน เพราะความไม่เท่าเทียมกันด้านเศรษฐกิจ
ส่งผลกระทบไปยังมิติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านสุขภาพ ด้านการศึกษา ด้านการเมือง และด้านการเข้าถึงทรัพยากร
เป็นต้น ซึ่งการวิจัยในครั งนี เน้นความเหลื่อมล ้าที่เกิดขึ นในชุมชนบ้านหนองสาหร่าย ในมิติต่างๆ ที่ได้กล่าวมาแล้ว
2.1.2 แนวคิดเรื่อง “ความเหลื่อมล ้า”
จากการศึกษาเอกสารในเบื องต้น พบว่า ต้นก้าเนิดหรือแนวคิดหลักๆ ที่สามารถเชื่อมโยงกับค้าว่า
ความเหลื่อมล ้าจะมีพื นฐานมาจาก 3 ส้านักคิดหลักๆ ได้แก่ 1.ส้านักคิดส้านักเสรีนิยม (Liberalism) 2.ส้านัก
คิดเรื่องความยุติธรรมทางสังคม (Social Justice) และ 3.ส้านักคิดเรื่องสมรรถภาพมนุษย์ (Capabilities
Approach) ซึ่งทั งสามส้านักคิดก็มีความแตกต่างอยู่ที่การให้น ้าหนักกับ “เสรีภาพของปัจเจก” และ “ความ
ยุติธรรมในสังคม” โดยสามส้านักคิดนี มีเป้าหมายที่มีความคล้ายคลึงกันก็คือ กล่าวถึง “ความเท่าเทียมกันทาง
ศีลธรรม” (Morally Equivalent) กล่าวคือ ไม่มีชุดหลักเกณฑ์ใดๆ ที่จะช่วยเราตัดสินได้ว่าส้านักคิดใด
“ดีกว่า” หรือ “เลวกว่า” กัน เนื่องจากต่างก็มีจุดยืนทางศีลธรรมด้วยกันทั งสิ น เพียงแต่ให้น ้าหนักกับคุณค่า