Page 29 - kpi20889
P. 29

บทที่ 2 การดําเนินงานของโรงเรียนคริสตและโรงเรียนจีนกอนรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกลาเจาอยูหัว    18



               กลางไมฝกใฝฝายใดตั้งแตชวงเริ่มตนสงคราม โดยในวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2460 (ค.ศ. 1917)

               พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลาเจาอยูหัวทรงประกาศสงครามกับฝายมหาอํานาจกลาง อันไดแก เยอรมนี,
               ออสเตรีย-ฮังการี, ออตโตมัน ฯลฯ โดยเขารวมกับฝายสัมพันธมิตรที่นําโดยอังกฤษ, ฝรั่งเศส, รัสเซีย,

               สหรัฐอเมริกา, ญี่ปุน, อิตาลี ฯลฯ ซึ่งเปนฝายชนะสงครามในที่สุด ความสําเร็จนี้มีการเฉลิมฉลองครั้งใหญทั้งใน

                                                                          4
               เขตพระนครและทั่วประเทศ รวมถึงมีการจะจัดพิธีรําลึกเปนประจําทุกป3
                       การชนะสงครามโลกครั้งที่ 1 ไมเพียงแตจะนําไปสูการยกเลิกสนธิสัญญาที่ไมเปนธรรมกับชาติที่เปน

               ฝายแพสงครามอยางเยอรมนี และออสเตรีย-ฮังการีไดอยางงายดายเทานั้น แตก็ยังสรางเกียรติภูมิของประเทศ

               ใหสูงมากยิ่งขึ้นในสายตาของนานาประเทศ สยามไดกาวสูการเปนสวนหนึ่งประชาคมโลก เปนสมาชิกผูกอตั้ง
               องคการสันนิบาตชาติเมื่อ พ.ศ. 2462 (ค.ศ. 1919) และเพิ่มอํานาจตอรองกับประเทศรวมรบในสงครามโลก

               ครั้งที่ 1 มากยิ่งขึ้น จนสามารถแกไขสนธิสัญญากับสหรัฐอเมริกาใน พ.ศ. 2463 (ค.ศ. 1920)  กับอังกฤษใน

                                                                               5
               พ.ศ. 2467 (ค.ศ. 1924) และกับฝรั่งเศสใน พ.ศ. 2468 (ค.ศ. 1925) ไดสําเร็จ4
                       ปจจัยความสําเร็จจากการเขารวมสงครามโลกครั้งที่ 1 นี้เปนแรงผลักดันสําคัญทั้งในแงนโยบาย

               ชาตินิยมใหเขมแข็งมากยิ่งขึ้น ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลาเจาอยูหัวมีพระดําริที่จะสถาปนาสถาบันหลัก

               ในรูปของชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย ซึ่งสะทอนผานการโบกสะบัดของธงไตรรงคที่เริ่มตนในรัชกาลนี้
               และใชครั้งแรกใหสงครามโลก อยางไรก็ดี ภาพรวมของความเปนชาตินิยมในยุคนี้ก็คือการจงรักภักดีตอ

                                                  6
               พระมหากษัตริย หรือกษัตริยนิยมนั่นเอง5   ดังนั้น การขับเคลื่อนสํานึกชาตินิยมจึงดําเนินไปคูขนานกัน เริ่ม
               จากการสรางความภาคภูมิใจในความเปนชาติ ควบคูไปกับความรักและเทิดทูนองคพระมหากษัตริยอันเปน
               ปจจัยภายในชาติ พรอม ๆ กับการสลัดความรูสึกดอยกวาทิ้งไป เพิ่มพลังอํานาจตอรองในเวทีความสัมพันธ

               ระหวางประเทศ ที่ไมจําเปนตองยอมตามชาติมหาอํานาจเสมอไป ที่เปนแงมุมที่มุงออกไปภายนอก โดยกลไก

               สําคัญของที่จะขับเคลื่อนไปตามนโยบายชาตินิยมก็คือ การจัดการศึกษีจะสงผานคติสํานึกไปยังเด็กนักเรียน ผู
               ที่จะเติบใหญเปนพสกนิกรที่ดีตอไป แนวนโยบายก็สืบเนื่องมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกลาเจาอยูหัว

               รัชกาลที่ 7 ที่จะตองเขามากํากับดูแลโรงเรียนคริสตและโรงเรียนจีนตอไป ซึ่งมีแงมุมใหรัฐตองระแวดระวัง

               ประเด็นความมั่นคง โดยโรงเรียนคริสตจะเกี่ยวพันกับประเด็นทางศาสนา และโรงเรียนจีนก็จะมีปญหาการสั่ง
               สอนลัทธิการเมืองที่ไมพึงประสงคของรัฐสยาม





                       4  Walter F. Vella, Chaiyo!: King Vajiravudh and the Development of Thai Nationalism, 123-127.

                       5  Ibid., 127-135; อัธยา โกมลกาญจน, การศึกษาเกี่ยวกับการแสวงหาการยอมรับจากนานาประเทศ ในรัชสมัย
               พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลาเจาอยูหัว (งานวิจัย ภาควิชาประวัติศาสตร คณะมนุษยศาสตร มหาวิทยาลัยรามคําแหง,

               2531), บทที่ 5.
                       6  Chris Baker, and Pasuk Phongpaichit, A History of Thailand, 3rd edition (Melbourne: Cambridge

               University Press, 2014).
   24   25   26   27   28   29   30   31   32   33   34