Page 50 - kpi19842
P. 50
“กระบวนการเป็นผู้น าแบบทางการและการมีส่วนร่วมทางการเมืองท้องถิ่นของกลุ่มชาติพันธุ์ชาวไทยภูเขา กรณีศึกษากลุ่มชาติพันธุ์
ชาวไทยภูเขา อ าเภอคลองลาน จังหวัดก าแพงเพชร” โดย โอกามา จ่าแกะ ผศ.ณัฏฐวุฒิ ทรัพย์อุปถัมภ์ ชลกานดาร์ นาคทิม
ชาติพันธุ์นั้นๆ ได้ดีในยุคนั้น แต่เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไปอัตลักษณ์ดังกล่าวอาจใช้ไม่ได้ผล เนื่องจากกลุ่ม
ชาติพันธุ์ต่างๆ ก็มีการปรับตัว และหยิบยืมวัฒนธรรมระหว่างกัน ด้วยเหตุนี้เมื่ออัตลักษณ์เก่ามีพลังน้อยลง
อัตลักษณ์ใหม่จึงถูกสร้างขึ้นมาทดแทน อัตลักษณ์จึงเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนตายตัวและไม่หยุดนิ่ง การสืบทอด
และผลิตอัตลักษณ์ใหม่จึงถูกสร้างขึ้นมาทดแทนได้เสมอ ภายใต้กาลเวลาและบริบททางสังคมที่
เปลี่ยนแปลงไป
Jenkins (1996) ชี้ให้เห็นว่าอัตลักษณ์เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น และมีลักษณะของความเป็นพลวัตอยู่
ตลอดเวลา ซึ่งสอดคล้องกับการให้ความหมายของ Berger และ Luckman (1967) ที่ว่า อัตลักษณ์ถูกสร้าง
ขึ้นโดยกระบวนการทางสังคม ครั้นเมื่อตกผลึกแล้วอาจจะมีความคงที่ ปรับเปลี่ยน หรือแม้กระทั่ง
เปลี่ยนแปลงรูปแบบไป ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ทางสังคมเป็นหลัก กล่าวโดยอีกนัยหนึ่ง อัตลักษณ์
เป็นเรื่องของความเข้าใจ และการรับรู้ว่าเราเป็นใครและคนอื่นเป็นใคร นั่นคือ การเกิดขึ้นและด ารงอยู่ว่า
เรารับรู้เกี่ยวกับตัวเองอย่างไรและคนอื่นรับรู้เราอย่างไร โดยมีกระบวนการทางสังคมในการสร้างและ
สืบทอดอัตลักษณ์ ทั้งนี้ ย่อมขึ้นอยู่กับบริบทของความสัมพันธ์ทางสังคมที่มีต่อคนหรือกลุ่มอื่นๆ ด้วย
อัตลักษณ์มีทั้งที่เป็นระดับปัจเจก (individual) และอัตลักษณ์ร่วมของกลุ่ม (collective) ในระดับ
ปัจเจกบุคคลคนหนึ่ง อาจมีหลายอัตลักษณ์อยู่ในตัวเอง เช่น เพศสภาพ กลุ่มชาติพันธุ์ชาติ ช่วงชั้นทาง
สังคม อาชีพและศาสนา ในขณะที่อัตลักษณ์ร่วมของกลุ่มนั้น ความเป็นอัตลักษณ์ร่วมถูกสร้างขึ้นบน
พื้นฐานของความเหมือนกันของสมาชิกในกลุ่ม อย่างไรก็ตามบนพื้นฐานของความเหมือนกันของกลุ่มนั้น
ย่อมมีความแตกต่างกับกลุ่มอื่น มาเป็นตัวก าหนดความเป็นอัตลักษณ์เฉพาะของกลุ่มตนด้วย ฉะนั้นเมื่อ
พูดถึงอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ จึงเป็นลักษณะอัตลักษณ์ร่วมของสมาชิกของกลุ่มคนในสังคมเดียวกัน
ซึ่งแตกต่างออกไปจากกลุ่มอื่น
การศึกษาและข้อถกเถียงทางมานุษยวิทยาเกี่ยวกับความเป็นชาติพันธุ์ (ethnic identity) เริ่มมา
ตั้งแต่ปลายช่วงทศวรรษ 1950 ต่อต้นทศวรรษ 1960 โดย Naroll (1964) น าเสนอว่า แต่ละกลุ่มชน
มีรูปแบบและวัฒนธรรมเฉพาะ (cultural traits) ที่เป็นตัวของตัวเองในการบ่งบอกความเป็นอัตลักษณ์
และ Geertz (1973) น าเสนอว่า สิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่ก าเนิด เช่น ความผูกพันของระบบเครือญาติ ศาสนา
ภาษาและพฤติกรรมทางสังคม เป็นลักษณะร่วมและมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของกลุ่มคนเดียวกัน
ซึ่งยังคงเป็นลักษณะของภาพนิ่งในขณะที่ Leach (1964) และ Barth (1969) ชี้ให้เห็นถึงความเป็นพลวัต
ของกลุ่มคนและวัฒนธรรม โดยให้ความเห็นว่าแม้จะมีเส้นแบ่งความเป็นรูปแบบเฉพาะของแต่ละวัฒนธรรม
แต่คนก็สามารถข้ามไปข้ามมาระหว่างวัฒนธรรมได้ นอกจากนั้นแล้ว Moerman (1965) ยังพบว่าการที่
สมาชิกในกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งๆ จะบอกว่าตัวเองเป็นใครนั้น ต้องขึ้นอยู่กับบริบทของความสัมพันธ์เชิงอ านาจ
ที่พวกเขามีกับกลุ่มอื่นๆ ด้วย
อย่างไรก็ตาม งานเขียนของ Keyes (1976) น าเสนอว่า อัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ เป็นการ
หล่อหลอมที่มีมายาวนานของความรู้สึกร่วมกันในสายเลือด (shared descent) ตัวอย่างเช่น ภาษาที่
49