Page 358 - kpi17968
P. 358
347
และมองว่าอำนาจอธิปไตยอาจจะมีหน้าที่ 3 ส่วน คือการออกกฎหมาย
การบริหารราชการ และการตัดสินคดีความ separation of power มองจาก
วัตถุประสงค์การป้องกันการผูกขาดการใช้อำนาจ แบ่งออกเป็น 2 ตัว คือ
1. Positive separation of power ซึ่งมีการแบ่งการใช้ อำนาจออกมาเป็น
องค์กรนั้นๆ ดำเนินภารกิจของตนเองไป คือหลักการแบ่งแย่งอำนาจในเชิงกระทำ
2. Negative separation of power ประเด็นนี้ประเทศไทยไม่ค่อยพูดถึงกัน
มากนัก คือหลักการแบ่งแยกอำนาจในเชิงไม่กระทำการ เมื่อมีการแบ่งออกเป็น
แต่ละองค์กรแต่ละองค์กรต้องใช้อำนาจโดยไม่เข้าไปแทรกแซงการใช้อำนาจของ
องค์กรอื่น หากมีการแบ่งแยกอำนาจแล้วมีการก้าวก่ายองค์กรอื่นแสดงว่า
หลักการแบ่งแยกอำนาจไม่ถูกบังคับใช้จริง
2. การสร้างการทำหน้าที่ขององค์กรที่มีประสิทธิภาพ ประเด็นนี้ไม่ค่อยมี
การพูดถึงในประเทศไทยแต่เป็นหลักการที่สำคัญ หลักการนี้หากมองในมุมของ
separation of power เมื่อมีการแบ่งแยกอำนาจแล้ว อยากให้แต่ละองค์กรทำ
หน้าที่ของตนได้อย่างดี เพราะสุดท้ายเพื่อประโยชน์สาธารณะและการตรวจสอบ
ถ่วงดุลที่มีประสิทธิภาพนำไปสู่การสร้างหลักนิติธรรมที่มีประสิทธิภาพ หลักการ
ใหญ่ที่จะนำไปสู่การสร้างการทำหน้าที่ที่ดี ต้องมองเรื่องความเชี่ยวชาญ (expert)
เป็นหลัก แต่ละองค์กรต้องพยายามหาคนที่เชี่ยวชาญในการใช้อำนาจในส่วนนั้นๆ
เข้าไป ในส่วนของบุคคลที่เข้าไปนั่งในรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาลจะมีหลักในทาง
รัฐธรรมนูญที่มีบทบัญญัติว่าด้วยการกำหนดคุณสมบัติ หลักการกำหนดการเขียน
รัฐธรรมนูญว่าด้วยคุณสมบัติต่างๆ ในองค์กร สืบมาจากหลักการนี้
นอกจากปัจเจกยังมีการพิจารณาในเชิงองค์กรด้วยซึ่งต้องมีการสำรวจว่า
ธรรมชาติของแต่ละองค์กรคืออำนาจประเภทใด หลักการแบ่งแยกการใช้อำนาจ
จะแบ่งอำนาจออกเป็น 2 แบบ คือ 1. Legal power อำนาจในเชิงกฎหมาย
2.Political power อำนาจในเชิงการเมือง ทั้งสองอำนาจนี้เมื่อจะออกแบบ
รัฐธรรมนูญเราต้องใส่ให้ถูกต้องตามแต่ละองค์กร เป็นเรื่องสำคัญมาก
ทั้งนี้ โดยหลักการแล้ว 2 อำนาจนี้จะไม่เข้ามาปนกัน องค์กรที่ใช้อำนาจ
ทางการเมือง คือ รัฐสภา และคณะรัฐมนตรี องค์กรที่ใช้อำนาจทางการกฎหมาย
การประชุมกลุมยอยที่ 3